ปีนี้เป็นปีที่แปลกๆ สำหรับเราอยู่เหมือนกัน
อายุ 23 ปี
เพิ่งพ้นจาก 18 ปี ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้น หลายอย่างถูกขีดเส้นไว้แล้วว่าจะต้องไปทางไหน -ในวัยศึกษาเล่าเรียน ถึงมีทางเลือก แต่ก็มีไม่มาก
วงการหนังสือ เขาว่ามันเป็นเรื่องของจุดต่อจุด เรามีพื้นฐานมาจากการเป็นเด็กฝึกงานกองบรรณาธิการนิตยสารเวย์ และมีโอกาสเข้าค่ายสารคดี ตอนจบกิจกรรมทั้งสองอย่าง มีเพียงความรู้สึกเคว้ง แม้ว่าจะดีใจที่ได้ประสบการณ์มาเต็มอิ่ม แต่ ในตอนนั้นก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
แล้ว 1 ปีที่ผ่านมานี้ก็เหมือนพายุพัดกระพือ พาสิ่งโน้นสิ่งนี้มาปะทะ บ้างยังคงติดอยู่กับตัว แต่หลายอย่างก็หลุดปลิวไป
เราได้ลงผลงานในนิตยสารสารคดี หัวข้อ “ชาวนาวันหยุด” หรือที่ขึ้นหัวข้อปกว่า “คิดเช่นชาวนา” พอจบงานนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มสารคดีอิสระสายลมโดยปริยาย เพราะไปไหนไปกันตลอด 3 เดือนที่ทำงาน ตั้งแต่ไปกินข้าวฟรีที่บ้านชาวนา สูดละอองฝุ่นในโรงสีข้าว หรือนอนค้างคืนที่สถานีขนส่งต่างจังหวัด และนี่ก็ถือเป็นงานชิ้นใหญ่ชิ้นแรกที่ได้เงินจากการเขียนหนังสือ
เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อต่อจากนั้นเป็นสภาวะสุญญากาศ งานประจำก็ไม่มี งานอิสระที่เงินดีก็ไม่มา
ระหว่างที่เพื่อนมหาลัยและมัธยมได้งานทำในที่ต่างๆ เราได้แต่เป็นผู้ชม หดหู่บ้างเมื่อเกิดคำถามกับตัวเองว่า “หรือเราควรทำแบบนั้นบ้าง”
เมื่อจมลงทะเลใจ เราสมัครเป็นผู้สื่อข่าวที่สถานีโทรทัศน์ใกล้บ้าน ได้สัมภาษณ์งานกับผู้สื่อข่าวชื่อดัง เขาถามประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งเราสามารถตอบได้อย่างฉะฉาน และปิดท้ายด้วยการให้ลองพูดภาษาอังกฤษเพื่อถามนักธุรกิจชาวเวียดนามเกี่ยวกับคำแนะนำในการลงทุน
เราเอ๋อ พูดจากระท่อนกระแท่นได้สามประโยคก็หมดแม็ก ตอนนั้นหน้าคงแดง เมื่อคิดว่า เขาอาจตำหนิในใจว่านี่หรือบัณฑิตเอกภาษาอังกฤษ เราโทษตัวเองที่อยู่กับวรรณคดีมากไป จนไม่ได้อ่านข่าวเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง
หดหู่อยู่พักใหญ่ หมดศรัทธาในตัวเอง แต่ไม่นานเราก็ลืมมันไป ทำงานชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้สายลม และทำเว็บไซต์วรรณกรรม papercuts กับเพื่อน โดยไม่ (กล้า) คาดหวังอะไร แล้วเติบโตไปพร้อมๆ กัน
ช่วงหนึ่งถึงขนาดรับงานเขียนบทความท่องเที่ยว ที่สรุปใจความได้แค่อาหารอร่อย ถ่ายรูป และซื้อของฝาก หนำซ้ำยังโดนตัดท่อนที่ตั้งใจบรรยายบรรยากาศออกไปอย่างไม่ใยดี แล้วแทนที่ด้วยรูปถ่ายเกิน 3 ส่วน 4 ของหน้ากระดาษ (ซึ่งช่างภาพที่ทำงานคู่กับเราก็ถ่ายได้สวยจริงๆ และไม่ใช่ความผิดของเขา) นี่เป็นช่วงเวลาที่เราเผชิญความหงุดหงิดเล็กๆ น้อยๆ ไปตลอดการทำงาน ไม่เคยพอใจสิ่งที่เขียนออกมาตามใบสั่งและปรากฏในหน้านิตยสาร แต่อย่างน้อยก็ได้เที่ยว 3 จังหวัดที่ไม่เคยไป ในเวลาแค่ 3 เดือน ทั้งอุบลราชธานี สกลนคร และตรัง แถมยังได้เก็บเงินก้อนใหญ่อยู่รายเดือน
ใช่… แล้วทุกๆ การเดินทางก็กลายเป็นประสบการณ์
อีกช่วงหนึ่งที่เหนื่อยกับคำว่าอิสระ เราไปสมัครงานฟรีก๊อปปี้ที่เชียงใหม่ แม้ไม่ได้งาน แต่ได้เพื่อน ทั้งที่เป็นเจ้าของร้านอาหารออร์แกนิก และที่เป็นศิลปินสาวจากรั้ว มช. ย่านวัดอุโมงค์ พร้อมผองเพื่อนของเธอ และศิลปินผู้ประกอบการหนุ่มที่จ้างให้เราแปลวีดิโอให้เขาเพื่อฉายในงาน TCDC ทุกวันนี้เรายังติดตามเธอและเขาอยู่ห่างๆ ด้วยความชื่นชม ถึงแม้ว่าวันนี้ ด้วยวัยของพวกเรา ไม่มีใครครอบครองคำว่าสำเร็จได้อย่างเต็มปาก
พายุชีวิตพัดงานประจำปลิวผ่านตัวไปสองรายการ พัดงานอิสระที่ทำอยู่ทุกเดือนหายไปด้วย แต่พัดเพื่อนเข้ามาหลากหลาย เกินกว่า 4 ปีในมหาวิทยาลัยจะจัดสรรมาให้ได้ พวกเขาแตกต่างทั้งอาชีพ ภูมิลำเนา และปัญหาชีวิตที่เผชิญอยู่
คืนหนึ่งในหน้าหนาว เรานั่งรถเต่าตากลมหนาวอัดแน่นกับคนแปลกหน้า 5-6 คน ไปดื่มสังสรรค์ในลำเนาป่าสันป่าตอง นั่งตัวสั่นเทาในร้านเพิงคาราโอเกะ ที่ที่เสียงร้องเพลงโหวกเหวกไม่ใช่เสียงที่น่ารำคาญ แต่อบอุ่นใจพิลึก เราตกอยู่ในช่องว่างเวิ้งว้างระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่
พวกเราต่างตะโกนก้อง ร่ำไห้ใส่ไมโครโฟน เมื่อเสียงข้างในของเราไม่ตอบสนองต่อคำถามใดๆ ในโลก
กลับมาที่กรุงเทพฯ เราแปลหนังสือเรื่อง SUM ที่ประสานงานกับพี่แบงก์ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง และได้เข้าค่ายบ่มเพาะนักเขียน เราเฝ้ามองผู้คนเหล่านั้นอย่างสับสน พวกเขามาทำอะไรกัน… แล้วจากนั้นก็ถามตัวเอง แล้วเราล่ะ ทำอะไรอยู่
การนัดพบกับเพื่อนเก่ากลายเป็นสิ่งที่เรากลัว ไม่ใช่เขาที่ดูถูกเรา แต่เรากลัวการดูถูกตัวเองเมื่อมองอย่างเปรียบเทียบ
เพื่อนที่เชียงใหม่ส่งข้อความมาบอกว่า อีกไม่นานเขาจะปิดร้าน และกลับบ้านเกิดแล้ว
เราเศร้า นึกถึงรสเหล้าขมปร่าที่เพื่อนคนนั้นเคยส่งให้ ในใจได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ท้อกับการทำงานศิลปะ เพราะเรา ก็แค่ ชอบรูปที่เขาวาดมากๆ
—
3 เดือนผ่านไป ต้นฉบับงานแปลเสร็จเรียบร้อย Chaichaibooks กำเนิดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เป็นสำนักพิมพ์ที่มีเพียงวิญญาณ ไร้สำนักงานเป็นกายวิภาค กระดากปากอยู่บ้างเมื่อมีใครถามถึงแผนธุรกิจของพวกเรา
แต่ถึงปลายทางจะเป็นอย่างไร ภารกิจตรงหน้าก็ชัดเจนกว่าที่เคย นั่นคือ ต้องพิมพ์หนังสือเล่มนั้นออกมาให้ได้ และขายให้ได้
พร้อมกันนั้นก็รับงานราษฎร์งานหลวงไม่เลือกหน้า เพื่อหาทุนมาทำหนังสือ และงานเหล่านี้ก็เป็นมากกว่าทางผ่าน แต่คือค่า exp. ในวงการหนังสือที่เพิ่มขึ้น
การนั่งเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตคนอื่นกลายเป็นเรื่องเสียเวล่ำเวลาในบัดดล มีเพียงคำถามว่า ต้องทำอะไรต่อ มีงานอะไรจ่อค้างไว้ และจะทำทันหรือเปล่า
บางทีคนเราก็เพียงตั้งเป้า สร้างความหวัง เพื่อหวังว่าชีวิตจะมีความหมายอะไรเพิ่มขึ้นจากความไม่มีอะไร
เราว่าแค่นั้นก็อาจจะพอ
ปลายเดือนพฤษภาคม เราทำงานค่ายบ่มเพาะนักเขียนสำเร็จ แม้ว่าจะท้อแท้และรำคาญตัวเอง จนอยากถอนตัวจากค่ายอยู่บ่อยครั้ง
ชิงชัง ริษยา ดูหมิ่น คือบรรดาอารมณ์ที่เรารังเกียจและไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนที่คล้ายกัน เพราะย่อมกระทบต่อทุกตัวอักษรที่เขียนออกมา แต่สุดท้ายเราก็ทนมันได้ และเขียนงาน 10 หน้าออกมาสำเร็จ เพียงแค่พี่หนุ่ม โตมร ชื่นชมสักหนึ่งย่อหน้า ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นแล้ว
อยู่ๆ สิ่งที่คิดว่าทำไปก็ไม่มีความหมาย ดันมีความหมายมากมายมหาศาล
และส่งพลังงานต่อเรื่องอื่นๆ ที่กำลังทำอยู่
ถ้าจะแสดงอาการตื่นเต้นแบบเด็กสาว เราอาจขีดเส้นใต้ว่า วัย 23 ปีของเรา คือวัยพบปะเซเลบริตี้ เราได้รู้จักมักจี่นักเขียนชื่อดังมากมายที่เราเพียงแต่เคยทักทายบนหน้าหนังสือตั้งแต่มัธยมฯ พร้อมๆ กันนั้นก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่า บรรดาคนที่รู้จักไม่ได้แปรผันตามคุณภาพงานเขียนของตัวเอง อย่างมากก็อาจเป็นกำลังใจที่ย้ำว่าเราก็น่าจะทำแบบนั้นได้บ้าง
แต่ถึงอย่างนั้น ก็อย่าดูถูกอานุภาพของพลังจุดต่อจุด
เราได้งานชิ้นเล็กๆ จากการที่ศิลปินสาวเชียงใหม่ได้บอกเพื่อนชาวต่างชาติที่แวะเวียนไปร้านของเธอว่า เราเขียนหนังสือได้
การที่เราเขียนรีวิวหนังสือ ความฝันของไอน์สไตน์ เล่นๆ ในเว็บไซต์ papercuts ทำให้วันนี้เราและพี่แบงก์มาลงขันลงแรงทำสำนักพิมพ์ร่วมกัน เพื่อผลิตหนังสือที่มีแนวคิดคล้ายหนังสือเล่มนั้นที่เราสองคนต่างชอบ
นักเขียนหนุ่มแห่งบริษัทฟรีก๊อปปีที่เราไปสมัครและได้พูดคุยด้วยสั้นๆ (แต่ไม่ได้งาน) ถึงวันนี้เขาก็เอื้อเฟื้อพวกเราในการประชาสัมพันธ์ แม้ว่าเราจะยังไม่ทันได้มีโอกาสทำงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันให้เขาเลย
ค่ายสารคดีที่จบมา ทำให้เรามีโอกาสเดินกลับไปบอกนักหัดเขียนรุ่นต่อๆ มาว่า เรากำลังทำอะไรอยู่บ้าง เผื่อพวกเขาอยากสนับสนุน
หนึ่งปีนี้ก็มีความโหดร้ายอยู่บ้าง ได้เจอคนที่ชอบเอาเปรียบความฝันของคนอื่น หากำไรเกินควรจากความไร้เดียงสาของนักอยากเขียน เราเจ็บปวด เคียดแค้น แต่ก็กัดฟันแล้วยิ้มแฉ่งให้แรงๆ
แต่ยังโชคดีที่ว่า นี่ก็เป็นหนึ่งปีที่เราได้เจอกลุ่มคนทำงานหนังสือซึ่งรักหนังสืออย่างบ้าคลั่ง และยอมเป็นคนบ้าไปชั่วขณะ เมื่อกระโดดเข้ามาทำธุรกิจกับหนังสือ
เราหัวเราะหึๆ คิดว่าบ้าดีว่ะ แต่นี่แหละ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เราอุทิศให้หมดใจ ในช่วงวัยพลังเยอะอย่างนี้
แล้วรอดูว่าปีที่ 24 จะเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องคอยนับวันนับเดือน
เผลอแปบเดียว นี่ก็จะครึ่งปีแล้วนะ
:)
ถูกใจถูกใจ