ขอโทษที่ยืมตัวเธอมาเป็นตัวละคร
อาจเพราะวันนี้มันว่างโหวงจนน่ากลัว มีแดดแต่ไร้ความสดใส ตกกลางคืน ไอร้อนจากด้านนอกหมุนวนเข้ามาในขบวนรถไฟฟ้า
การได้พบใครสักคนที่ขยับจังหวะชีพจรให้สับสนได้ เป็นเรื่องพิเศษที่สุดของวัน
สถานีหมอชิต ก็เช่นทุกครั้ง เราก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปจนคนออกหมดขบวน แล้วก้าวเท้าอย่างเลื่อนลอยออกมารอก่อนประตูงับปิดพร้อมเสียงแสบแก้วหู
สบเข้ากับตากลมโตคู่หนึ่งที่คุ้นเคย
เธอนั่นเอง พนักงานที่ยื่นกุญแจล็อกเกอร์ให้เมื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์เครื่องสำริดร่วมสมัย ปกติเธอจะจ้องมองหน้าจอคอมฯ เงยหน้ามาพูดคุยกันเพียงประโยคเดียว
“ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”
เรามักไปที่นั่นในวันธรรมดา วันที่ไม่มีมนุษย์ทำงานที่ไหนเขาไปกัน เดินสำรวจความเงียบที่สะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างผนังกับสำริดใหม่เอี่ยม เป็นความเงียบที่ไม่เงียบจริง แต่คือวิญญาณของเสียงที่เดินทางไปมาอยู่รอบตัว จินตนาการถึงเส้นสายล่องหน เส้นของการบีบอัดของอากาศที่เดินทางเป็นคลื่นต่อเนื่องกันในพิพิธภัณฑ์ว่างเปล่า
คราวนี้เราพบกันในสถานที่แปลกแตกต่างออกไป เธอไม่ได้มีหน้าที่รับฝากกระเป๋า ส่วนเราก็ไม่ได้เป็นแขกเข้าชมพิพิธภัณฑ์
ชั่วเสี้ยววินาทีที่บังเอิญสบตากันและรู้สึกถึงการขยายของรูม่านตา เรารีบหลุบลงมองหน้าหนังสือราวกับไม่ใส่ใจเหตุการณ์เมื่อครู่
เธอเองก็คงไม่ใส่ใจ หันไปมองผู้คนทยอยเดินลงบันไดเชื่องช้าเหมือนซอมบี้ ระหว่างที่ลมก็พัดเส้นผมปอยเล็กๆ ที่อยู่ริมหน้าผาก
เราแอบสำรวจอย่างละเอียด ไฝเม็ดเล็กที่ข้างโหนกแก้ม เสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวผ้าโปร่งเบา และรองเท้าผ้าใบแบบคอนเวิร์ส ดูสบายๆ เมื่อเทียบกับตัวเธอในชุดทำงานในพิพิธภัณฑ์ แปลกดี เรานึกว่าพิพิธภัณฑ์จะหยุดเพียงวันจันทร์ เอ หรอเธอไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้วก็ไม่รู้ แต่รู้สึกดีอย่างนึกไม่ถึง เมื่อพบว่าเธอกลับบ้านทางเดียวกัน
เมื่อคนเริ่มสร่างซา รอให้เธอเริ่มเดินก่อน แต่แล้วเธอก็หยุดตรงแผงนิตยสาร เราชะงัก คำนวณอยากรวดเร็วว่า หากเราเดินผ่านไป แล้วจะได้มีโอกาสเจอกันอีกไหม
แต่แล้วเธอก็เดินมา เราเดินตีคู่กันไป เป็น 10 วินาทีที่ดูยาวนาน แต่ไม่อาจทำอะไรได้ คงประหลาดหากหันไปถามว่า “เธอชื่ออะไร”
มองดูเธอวิ่งขึ้นสาย 8 ไปอย่างเร่งร้อน เสียงหวู่ๆ ครึงๆ ของเครื่องยนต์รถเมล์ระคายหูจนรถแล่นออกไป
เอาน่า อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าบ้านเธอคงอยู่แถวลาดพร้าว
หวังว่าคืนนี้เธอจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย