จริยาถักโครเชต์เป็นรูปร่างเรขาคณิตที่ไม่สมมาตร แสงจางๆ ของยามสายลอดผ่านผ้าม่านโรงพยาบาล
กลิ่นยาอบอวล กลิ่นของความสะอาดแบบที่เธอชอบรายล้อม เธอรู้สึกปลอดภัย
ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ บรรยากาศห้องโถงจะเงียบสงัด โซฟาเดี่ยวสี่ตัวหันหน้าเข้าหากัน มีบ้างที่จู่ๆ จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากรองเท้าผ้าใบของเด็กๆ และเสียงพวกเขาเจี๊ยวจ๊าวระหว่างวิ่งไล่จับกันตรงโถงทางเดิน เมื่อเหนื่อยพวกเขาก็กลับเข้าไปนอนเล่นให้ห้องพักผู้ป่วยที่มีโซฟาและแอร์เย็นสบาย
ราวกับไม่รับรู้น้ำหนักของความเศร้าที่ทับถม
ร่างชราและไม่ไหวติงบนเตียงกลางห้องนั้นคือใคร พวกเขาอาจได้ทำความรู้จักเพียงไม่ถึง 5 ปี
ผู้ใหญ่บอกเพียงว่า อย่าเสียงดัง คุณปู่กำลังไม่สบายและต้องการพักผ่อน แต่แทบไม่มีใครรู้จักความตาย
จริยาเอางานฝีมือที่ยังไม่เสร็จดีใส่ถุงผ้า เดินไปยังห้องครัวรวมใกล้บันไดหนีไฟซึ่งอยู่เกือบสุดโถง หยิบน้ำอัดลมมาดื่มดับกระหายแล้วเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ครัว เธอไม่เครียด แต่อาจจะเหงา วันนี้พี่น้องสามสาวที่มานั่งทำงานฝีมือด้วยกันประจำตรงห้องโถงตรงนี้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ต่างขนของกันออกไปพะรุงพะรัง ไม่มีเวลาได้ล่ำลาจริยานานนัก
พวกเธอทั้งสี่เห็นหน้ากันมาเป็นเดือนๆ บางครั้งก็ซื้อขนมมาฝากกันระหว่างนั่งฆ่าเวลา … รอเพียงให้เวลาค่อยๆ ฆ่าคนรักของพวกเธอ
“เส้นเลือดในสมองแตก”
“มะเร็งตับ”
พวกเธอแลกเปลี่ยนอาการของพ่อแม่ให้กันและกันฟัง
จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีว่าคนไข้ในแผนกนี้มีแต่นอนรออาการวิกฤติ
เมื่อใครสักคนตาแดงก่ำ และมือเริ่มสั่น คนที่เหลือเพียงแค่ก้มหน้าถักโครเชต์ต่อไป บางคนก็แค่เดินลงไปซื้อหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะที่ร้านใกล้โรงอาหาร แล้วเอามานั่งอ่านด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับว่ามันจะลบน้ำตาได้ หรืออย่างน้อยก็ช่วยปกปิดใบหน้าที่เหยเก
จริยาเก็บน้ำอัดลมลงในตู้เย็น
3 เดือนแล้ว และวันนี้สามคนนั้นก็คงกำลังวุ่นวายกับพิธีศพของคุณแม่อยู่
3 เดือนในโรงพยาบาล
เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถึงพ่อที่ไม่ได้พูดจากันมาเนิ่นนานแล้ว หรือสามศรีพี่น้องนั้นมากกว่ากัน
บางครั้งเธอก็คิดอยากจะกลับมานั่งถักโครเชต์ที่นี่ แม้ว่าจะไม่มีใครให้ต้องเฝ้าไข้อีกต่อไปแล้ว