ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราสงสัยว่าตัวเองอยากมีชีวิตแบบไหนในอนาคต ดูเป็นคำถามเชยๆ สำหรับเด็กมัธยมปลาย แต่มันเป็นคำตอบที่คิดเท่าไหร่ก็ไม่ตายตัว เกิดอะไรกระทบใจนิดหน่อยก็ต้องกลับมาคิดใหม่ และก็คิดอยู่เรื่อยๆ
แต่ชุดความคิดหนึ่งที่ติดแน่นและเป็นจุดสำคัญให้เลือกเรียนมหาวิทยาลัยหรือเลือกอาชีพที่กำลังทำอยู่นี้ คือการเลือกเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เด็กอย่างตัวเองในวันนั้นจะรู้สึกว่า “แม่ง โคตรเท่เลยว่ะ”
ช่วยไม่ได้ เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว เราก็เลือกที่จะเดินตาม “ไอดอล” นักเขียนต่างๆ ที่เห็นตัวเห็นหน้าได้ชัด มีชื่อติดอยู่บนหน้าปกเกือบทุกร้านหนังสือ ออกสื่อนิดหน่อยเพื่อความเท่แต่ไม่ป๊อบจนเสียลุค
จะเสียดายไหม หากวันหนึ่งโตมาแล้วพบว่าการเป็นอย่างนั้นไม่ใช่ความเท่ เราก็เคยสะกิดตัวเองด้วยคำถามนี้เหมือนกัน ค่านิยมเปลี่ยนไปในแต่ละวัย แต่ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เราคิดแค่ว่า ไม่เป็นไร เอาตัวเองในวัย 17 ปีเป็นหลัก เราว่าแบบไหนเท่ เราก็จะไปทางนั้นแหละ
สุดท้ายแล้ว เราไม่รู้ว่าที่ที่ยืนอยู่นี้จะทำให้เราไปถึงจุดที่คิดว่าเท่โคตรได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่รู้สึกจริงๆ (อย่างที่ตัวเองได้เคยคาดคิดและสะกิดตัวเองไว้) คือ ความเท่นั้นบรรเทาลงเรื่อยๆ เมื่อมาอยู่ในระยะสายตามองถึง ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรฟอนเฟะหรือไม่ดี แต่อาจะเพราะค่านิยมในใจมันเปลี่ยนไป
แม้แต่คนที่เราจดจำชื่อเขาไว้ในใจเป็นหนึ่งในรายชื่อนักเขียนยอดนิยม ก็ยังเปรยๆ เตือนสติเราในฐานะเด็กรุ่นใหม่ว่า อย่าไปคงไปคิดเรื่องความฝันอะไรเลย สุดท้ายมันก็คือการทำงาน
คำว่า งาน อาจทำให้เสน่ห์ลดลง ไม่มีอะไรให้ต้องไขว่คว้า มีแค่เด๊ดไลน์บนปฏิทินตรงหน้า ที่ต้องวิ่งเข้าเส้นชัยให้ทันในแต่ละสนาม
เราเคยถามเพื่อนที่ต้องไปซ้อมกอล์ฟหลังเลิกเรียนทุกวันว่า เบื่อไหม เขาตอบว่า เบื่อสิ แต่มันคือสิ่งที่ต้องทำ เขาตอบแบบนั้น ไม่ใช่ว่าต้องทำเพราะมีอะไรมัดมือมัดเท้าให้ต้องทำ แต่ต้องทำเพราะเป็นเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว และขีดเส้นตารางชีวิตไว้นับแต่ยังไม่ทันขึ้นขั้นมัธยมต้น
เสียงหัวไม้ปะทะลูกกอล์ฟอาจทำให้เขาเพลียหูในบางครั้ง ถาดลูกกอล์ฟที่เทโครมลงเครื่องวางลูกอัตโนมัติอาจทำให้ต้องปาดเหงื่อ
แล้วจะทำอะไรได้ หากนี่เป็นเครื่องมือเดียวที่นิยามความเป็นตัวเขาในตอนนี้ นี่คือระหว่างทางของสิ่งที่เขาเลือกเมื่อได้อ่านนิตยสารกอล์ฟไดเจสต์ตอนเด็กๆ และบอกพ่ออย่างมั่นใจว่าอยากเป็นนักกอล์ฟ
ทุกสิ่งได้ลงทุนไปแล้ว ทั้งเวลาชีวิต การศึกษา และประดาเครื่องไม้เครื่องมือมีราคา
เราก็เช่นกัน มานิ่งนึก มันอาจเป็นเรื่องไร้สาระในสายตาเพื่อนร่วมรุ่นมาก ที่เรายังงมอยู่กับอะไรไม่รู้ เป็นความฝัน (พูดแล้วก็กระดาก) ในวัยก่อนเลขสอง ที่ยังดันทุรังทำอยู่นั่น กระทั่งวันที่เส้นทางของมันหมดเสน่ห์เย้ายวนในสายตาเราไปแล้ว
นอกจากจะต้องต่อสู้ทัดทานความเห็นของคนอื่น ยังต้องรุนหลังตัวเองให้ไปต่อ ไปไหนก็ไม่รู้ แต่ต้องไปต่อ เพราะลงทุนอะไรๆ ไปมากมายแล้ว และการเปลี่ยนเส้นทางไม่ง่ายเลย และยิ่งไม่ง่ายเลยที่จะตอบตัวเองว่า แล้วที่ผ่านมาเราลงทุนไปเพื่ออะไร หากวันนี้ ผลลัพธ์มันยังไม่น่าพึงพอใจเลย