ป.ก.ด. 01 โต๊ะสนุกเกอร์

ฝนตกหนักอีกแล้ว

เรานึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยเด็ก

เบียร์เอียงชามเข้าหาตัว ใช้ช้อนโต๊ะกวาดเศษข้าวและน้ำแกงกินจนเรียบ เรากินข้าวเย็นกันบนโต๊ะไม้กลมเคลือบแล็กเกอร์ กินเสร็จ เราก็ได้แต่นั่งดูละครในโทรทัศน์ ฟังเสียงนางเอกร้องไห้น้ำตานอง รอเวลาให้ฝนหยุด จึงจะออกไปล้างจานในกะละมังข้างบ้านกัน

เสียงป็อกแป็กของไม้คิวที่กระทบลูกสนุกเกอร์ บนโต๊ะกำมะหยี่เป็นฉากหลัง

ลูกค้าคงไม่กลับเร็วๆ นี้ พวกเขาคงต่อกันอีกเกม เพราะฝนที่ตกเป็นม่านขาว

เบียร์มีหน้าที่เฝ้าดูคนเหล่านั้น เก็บตังค์เมื่อถึงเวลา เช็ดทำความสะอาดฝุ่นชอล์คที่อยู่ตามพื้นและริมขอบหน้าต่าง คอยเติมแป้งในจานสังกะสีลายดอกไม้ เอาไว้ให้นักเลงสนุกเกอร์ได้ใช้ถูมือกัน

บางทีเราช่วยใช้แปรงปัดผิวโต๊ะ หรือเก็บลูกสนุ๊กลงกล่องไม้ แต่ดูไม่ได้ผ่อนแรงเพื่อนเอาเท่าไหร่ เพราะเอาแต่หยิบไม้คิวออกมาแกว่งเล่น

ในหมู่บ้านปากน้ำกะแดะนี้ เม็ดฝนเม็ดหนาไม่ใช่คนแปลกหน้า

พวกเราอยู่ใกล้ชายทะเล คำว่าปากน้ำนั่นก็บอกอยู่

ฝนตกเกือบตลอดเวลาในหน้าฝน ไม่ใคร่มีใครบ่น หากไม่ใช่ว่าเก็บผ้ากันเข้ามาไม่ทัน หรือตากปลาไว้ (ซึ่งก็น่าจะคะเนได้ว่าจะไม่ตากกันในหน้านี้ ต่อให้แดดกลางวันจะยั่วตาขนาดไหน)

หากวันฟ้าโปร่ง เรามองออกไปจะเห็นแนวรั้วไม้ที่ปักอยู่กลางทะเล มันคือฟาร์มหอย ทั้งหอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่

ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง บ้างก็ไปสร้างขนำไว้กลางน้ำ ใช้เป็นที่พำนักของคนเฝ้าคอกหอย (เขาเรียกกันแบบนั้น) บางคนมีเรือหางยาว บางคนมีเรืออวนลากขนาดเล็ก

ตกกลางคืนดึกสงัด ที่นั่นจะเงียบ บ้านเรือนสร้างปักหลักอยู่บนพื้นที่ป่าชายเลน แต่ถึงจะเงียบ นานๆ ทีเราจะได้ยินเสียงเรือแล่นออกจากฝั่ง หรือกลับเข้าปากน้ำ สลับกันไป

ซ่าาาา ซ่าาา

วิทยุในห้องนอนของแหนะ บางทีมีเสียงลูกเรือส่งสัญญาณกลับมา บอกกล่าวว่าได้กุ้งหอยปูปลามากน้อยเท่าไหร่ เราเด็กเกินไป ไม่เข้าใจระบบนัก รู้แค่ว่าในบางคืนที่ดึกสงัด แต่ท้องกิ่ว แหนะจะลุกออกไปต้มมาม่าให้กิน เสียงเอียดอาดของพื้นบ้าน ทำให้บางทีแหนะเอ็ด “อย่าเดินลงส้น!”

นั่นคงเป็นครั้งแรกๆ ที่เราหัดเดินด้วยปลายเท้า และทุกวันนี้คอนเวิร์สของเรามักพังที่บริเวณด้านหน้าก่อน

แต่นอกจากนี้ แหนะไม่ค่อยเอ็ดอะไรเราเลย คนเขาว่ารักหลานมากเกินไปด้วยซ้ำ

เบียร์คือเพื่อนผู้หญิงตัวสูงที่เราเรียกกันว่า “ซิมเบอะ” ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาจากไหน อาจจะต้องไปถามพี่ใหญ่ของกลุ่มที่ตั้งชื่อนี้ให้เธอ

เธอขายาวชะลูด รูปร่างออกทางผอมเพรียว แต่มีผมชี้ฟูเป็นก้อนอยู่ตลอดเวลา

มักต้องทำงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู ล้างจาน โดนป้าเอ็ดตะโรอยู่เสมอ (ด้วยความรัก) บางครั้งโดนตีแรงๆ แต่ต้องกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ เพื่อไม่ให้โดนตีหนักกว่าเดิม

เมื่อเทียบกันแล้ว เบียร์เป็นเด็กที่มีระเบียบวินัยที่สุด เธอไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ และต้องหัดรับผิดชอบตัวเองให้ได้ตั้งแต่เด็ก

แต่เธอน่าจะเป็นคนที่โดนผู้ปกครองดุบ่อยครั้งมากกว่าใคร

มันทำให้บางครั้งเรานั่งเดาว่า คำว่า ซิมเบอะ อาจจะผันมาจากซินเดอเรลลา แต่ดันมีบุคลิกเบ๊อะๆ ก็เลยกลายเป็นซิมเบอะ

ลานหลังบ้านเราอยู่ในตำแหน่งห้องนอนของเบียร์พอดี บางครั้งเราได้ยินเสียง “เฮ่ยย!” ลอดมาตามรู ในยามค่ำคืน ตั้งใจจะให้กลัว เพราะเด็กต่างจังหวัดอย่างเรา เผลอเมื่อไหร่ก็ชอบแลกเปลี่ยนเรื่องผีกัน

เราสะดุ้งเล็กน้อย แต่พอนึกได้ว่าใครก็ตะโกนกลับไป

“อะไร ซิมเบ๊อะ!!!”

แล้วก็สลับกันหัวเราะคิกคัก

“เอเลี่ยนฟันเหล็ก” เธอตะโกนกลับมาสำเนียงแปร่ง

นั่นเป็นฉายาของเรา เด็กที่ต้องอุดฟันด้วยวัสดุเหล็ก เป็นที่แปลกตาของเพื่อนๆ ในแถบนั้น

แปลกดีที่หลายครั้งพวกเรา หมายถึงพวกเด็กๆ ชอบมารวมตัวกันดูละครยามบ่ายที่ร้านสนุกเกอร์ของป้าเบียร์ อาจเพราะว่ามันเป็นสถานที่สาธารณะในความรู้สึกของพวกเรา

เราชอบแย่งกันนั่งเก้าอี้เอนหลัง ปล่อยให้เด็กเจ้าของบ้านอย่างเบียร์เลือกที่นั่งมุมอื่นๆ ไป

แรกๆ ที่เราหัดอ่านเขียนหนังสือ เราชอบเงยหน้าอ่านกฎระเบียบการใช้โต๊ะสนุ๊กทีละข้อ ฟอนท์ขาวบนพื้นเขียว มีรอยตัดขอบสวยงาม บางส่วนแหว่งวิ่นแตกหัก

หากผู้หลักผู้ใหญ่ที่บ้านสงสัยว่าเราไปเล่นที่ไหน จะให้กลับมากินข้าวได้แล้ว เขาจะตะโกนข้ามบ้านมาที่นี่ แหล่งกบดานของพวกเรา

“กิ่งเฮ้ออออ!” และบางทีอาจพ่วงชื่อเด็กๆ คนอื่นมาด้วย พวกเราต่างอยู่รายล้อมเบียร์และโต๊ะสนุกเกอร์

ยังไงไม่รู้ อยู่ๆ ช่วงหนึ่งในฤดูฝน เราชอบไปกินข้าวเช้ากับเบียร์

เรารู้ว่าเธอเป็นคนเดียวที่ตื่นแต่เช้าตรู่ แม้แต่วันที่ไม่ต้องไปโรงเรียน ก็เพราะถูกฝึกมาแบบนั้น

ตื่นมาเพื่อทำงานสารพัดสารพันอย่าง เป็นลูกมือของป้า เอาลูกสนุกเกอร์วางเตรียมไว้ในบล็อกสามเหลี่ยม เอาไม้คิวระเกะระกะไปแขวนไว้ตรงฝาผนัง

เราจึงเริ่มตื่นเช้า ไปเคาะประตู เบียร์เปิดบานเฟี้ยม เราออกไปซื้อข้าวมันไก่กัน แต่เอากลับมาเปิดห่อกินที่บ้านเบียร์

ควันน้ำต้มกระดูกไก่ลอยฉุยอยู่ตรงหน้าเรา ในวันที่อากาศชื้นเต็มพิกัด ไอน้ำจึงแสดงตัวพลุกพล่านกว่าวันไหนๆ บรรยากาศในบ้านยิ่งสลัวราง

เราแบ่งฟักกันคนละชิ้น

เป็นโมเมนต์ที่นึกย้อนกลับไปแล้วก็แปลกๆ ดี เด็กประถมสองคน ตื่นเช้าตรู่ นั่งกินข้าวมันไก่กันเงียบๆ

แต่มันก็เป็นเมจิกโมเมนต์ ที่จำไม่ลืม ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันสำคัญตรงไหน

บางครั้งเราอาจจะอยากแบ่งปันความทุกข์ของเบียร์ก็ได้ แต่ก็คงทำได้แค่เป็นเพื่อนนั่งกินข้าวมันไก่ เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น

“นังเบียร์!” เสียงแหลมดังลอดลงมาจากชั้นสองอีกครั้ง

งานนี้เป็นการทดลองเขียน เพื่อต่อยอดไปสู่บันทึกเรื่องหมู่บ้านปากกะแดะ สถานที่ที่ผู้เขียนเกิดและใช้ชีวิตช่วงปฐมวัยที่นั่น แต่ข้อมูลมาจากความทรงจำและมีการพาดพิงคนรู้จักในอดีต รายละเอียดอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.