5… 4.. 3.. 2.. 1
ช่างกล้องขมวดคิ้วจ้องจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มีกรอบบังแสงแดด หูฟังข้างหนึ่งห้อยตกลงมาที่อก เหงื่อเม็ดพรายจับตามไรผม
เรากดดัน ผู้ให้สัมภาษณ์พูดวกวนเป็นรอบที่สาม ไม่ตอบคำถามที่เราโยนไปให้ก่อนหน้าที่ตากล้องจะนับเลข ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราเหมือนทนายที่อยู่หน้าบัลลังก์ศาล ถามคำถามพยาน และคาดคั้นในใจว่าขอให้เป็นคำตอบที่ต้องการ เพื่อให้มีผลเป็นบวกกับฝ่ายเรา
พยานตะกุกตะกักอยู่หน้ากล้อง
เขารู้ว่าสื่อก็เป็นเพียงหนึ่งในอาชีพหาเลี้ยงตัวเอง
เขารู้ว่าหากวันหนึ่งตัวเองต้องเดือดร้อนจากสิ่งที่พูด พวกเราอาจไม่สนใจหรือไม่สามารถจะช่วยเขาได้ด้วยซ้ำ
ไม่ใช่เบาปัญญา ไม่ใช่ไม่เข้าใจประเด็นที่รายการต้องการสื่อสาร
ไม่ใช่ว่ามืดบอดจนไม่รู้ว่าปัญหาดังกล่าวในระดับชาตินั้นร้ายแรงขนาดไหน
แต่เขาถูกทำให้เป็นใบ้จนชาชน
สำนึกรู้ในฐานะผู้นำชุมชนบอกเขาว่ามันอาจเป็นประโยชน์อยู่บ้างที่จะถ่ายทอดเรื่องราวบางส่วนของพวกเขาให้คยในประเทศได้ร่วมศึกษา อย่างน้อยถ้าอภิสิทธิ์ชนจะไม่สนใจ คนชายขอบอย่างพวกเขาก็ได้ให้กำลังใจกันผ่านหน้าจอโทรทัศน์
เรื่องบางเรื่องแม้ไม่พูด พวกเขารู้กันดี
ความสามารถในการพูดของเขามีจำกัด
เขาเรียนรู้เรื่อง self-censorship ตั้งแต่คราวที่กลุ่มชายชุดดำวางกระบอกปืนลงตรงหน้า เขาออกจากชายป่า ถามว่าจะกลับบ้านเองหรือให้พากลับ หลังจากเขาไปโพล่งพูดความจริงที่มีผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองกว้านซื้อที่ดินจำนวนมากที่ต้องห้ามซื้อขาย
เพราะหากจะแก้ปัญหาปากท้อง คนที่ตัวใหญ่ที่สุดนั่นแหละคือปัญหา
ใครบางคนคิด นี่มันรังแกกันชัดๆ
แต่เขาก็รู้ดี นี่คือเกมอำนาจที่ต่อสู้กันผ่านไทม์ไลน์การเมือง
ตั้งแต่การเมืองของผี การเมืองเครือญาติ การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง การเมืองประชาธิปไตย การเมืองกองทุนกู้ยืมระดับท้องถิ่น หรือการเมืองที่ถูกเซนเซอร์ในทุกระดับ
การยกมือออกเสียงเป็นเรื่องปาหี่ที่เขาหัวเราะหึหึ
มันก็แค่ยุคสมัยที่เขาเริ่มก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ ยุคที่กลุ่มอำนาจเก่าในท้องถิ่นอย่างเขาต้องหลบไป และสงบปากสงบคำเอาไว้
ไม่มีทางหรอกที่คนอย่างเขาจะไม่ฉลาด ไม่เข้าใจว่าบรรดาคนหลังกล้องเหล่านั้นต้องการให้ตนพูดอะไร จะเค้น ‘ความจริง’ ใดไปขายสังคม
กลับกัน เขายิ้มเย้ยหยันในใจ
พวกนี้ช่างอ่อนด้อยและไม่รู้ว่าในโลกความเป็นจริง กลิ่นเหล็กของปืนที่วางไว้ปลายจมูกนั้น มันเย็นยะเยียบเพียงใด
ผู้พิพากษาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
คัท คัท คัท!