ปิดเทอมแรกแล้ว เลยจะมาสรุปชีวิตเทอมนี้ เพราะไม่ค่อยได้มาเขียนเล่าบ่อยอย่างที่คิด
เริ่มต้นเทอม เราเจอกับการลงทะเบียนที่งงๆ บ้างนิดหน่อย กลายเป็นว่าได้ปฐมนิเทศและรู้อาจารย์ที่ปรึกษาก็หลังจากลงทะเบียนอะไรไปเรียบร้อยแล้ว ยอมรับว่าเหวอกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเหมือนต้องหาคำตอบเองว่าควรลงอะไรยังไง และบางทีเอกสารที่แจกก็ข้อมูลไม่ตรงกับที่พูดในปฐมนิเทศ
อาคารที่เรียนสำหรับ GSIS คือตึก International Education เดินเข้าประตูใหญ่ลายดอกไม้เข้ามา กำลังจะถึง ECC ก็เบนเลี้ยวออกไปทางซ้าย เป็นตึกสูงๆ เราเรียนเฉพาะชั้น 9-10 ในเทอมนี้
ภาพถ่ายจากตึก International Education ECC ที่ทุกคนชอบมาถ่ายรูป
ตอนเริ่มต้นใช้ชีวิตที่นี่ก็ขลุกขลักบ้าง เพราะยังไม่มีบัตรต่างด้าวที่เขาเรียกว่า Alien Card (ฟังดูไซไฟ) ทำให้ยังลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์ถาวรไม่ได้ ซึ่งส่งกระทบเป็นโดมิโนกับการใช้งานแอพฯ ต่างๆ ของมหาลัยที่ต้องการให้ยืนยันเบอร์ก่อน และบริการธนาคารชินฮัน ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไปผูกเบอร์ เพราะรำคาญพนักงานบางคนที่สาขา ECC ฮ่าๆๆ
ที่นี่ระบบการจ่ายเงินออนไลน์เคร่งมาก ต้องผูกเบอร์โทรศัพท์เข้ากับ ID card ต่างๆ ของเรา และใช้แอพฯ PASS เป็นตัว authenticate การชำระเงิน ตอนที่ยังไม่มีเบอร์ก็ลำบาก (แต่ตอนนี้ก็ยังลำบากเพราะอ่านอะไรไม่ค่อยออกในแอพฯ ที่เป็นภาษาเกาหลี!)
เนื่องจากการทำงานก่อนหน้านี้ทำให้ได้ไปหลากหลายประเทศ ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้าง และดูแลตัวเองได้ ตอนก่อนมาก็เลยมั่นๆ ว่าพูดอังกฤษได้ก็ survive ในโซลได้แล้วมั้ง ก็มันเป็นเมืองหลวง แต่ปรากฏว่าทุกอย่างเปิดโหมดเกือบเกาหลีล้วน ทั้งผู้คน ป้ายถนน ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า ฮีตเตอร์ (อนดล) หรือ sms จากเครือข่ายมือถือ ซึ่งบางครั้งเป็นข้อความ emergency ที่หน่วยงานรัฐส่งมา เราก็ต้องก็อปไปวางในแอพฯ google translate
เราพบว่าหลายๆ ครั้งที่พูดอังกฤษไปแล้วอีกฝ่ายพยักหน้าเข้าใจ แต่น้อยคนจะพูดอังกฤษกลับมา ทำให้เหวอและคิดว่าต้องบังคับตัวเองให้เร่งรัดเรียนภาษาเกาหลีให้ได้เร็วกว่านี้
อย่างที่เคยบอกว่าเทอมนี้เราเรียนวิชาในเอก IR สองตัว วิชาทักษะการเขียนหนึ่งตัว และวิชาของภาคเกาหลีศึกษาหนึ่งตัว ซึ่งถือว่าไม่เยอะเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่แค่นี้เราก็ตระหนกกับการพรีเซนต์และเปเปอร์ ซึ่งห่างหายไปนานตั้งแต่เรียนอักษรฯ ได้แวะไปห้องสมุดอันแสนไกล คือเดินข้ามไปอีกฝั่งของ ECC ที่ยาวและสวยงามนั้น และปีนบันไดชันๆ ขึ้นไปอีก ตามภาพข้างล่าง

ที่อู้วว้าวมาก คือ แอพฯ ห้องอ่านหนังสือของ ม.อีฮวา เราสามารถเลือกห้องที่จะไปอ่าน ดูว่าคนเยอะไหม จองที่นั่งล่วงหน้าได้ พอจองไปแล้วก็ติ๊ดบัตรนักศึกษาเข้าไปได้เลยภายใน 30 นาที มีจำกัดเวลา (แต่ต่อเวลาได้) คิดว่าระบบนี้คงตั้งใจป้องกันการใช้ของวางจองโต๊ะแล้วเดินไปทำธุระที่อื่น เพราะระบบจะรู้ว่าเราอยู่หรือไม่อยู่ในห้องนั้น เฉลี่ยให้ทุกคนได้ใช้ facilities อย่างเป็นธรรม
สิ่งที่ผิดคาดคือสไตล์การสอน ตอนแรกคิดว่านานาชาติ จะออกแนว อะ ทุกคนอ่านหนังสือแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน (เคยเป็นแบบนั้นในบางวิชาของเอก eng) แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นเลคเชอร์ทางเดียว มีถามคำถามบ้าง แต่ไม่สนุกสนานอย่างที่คิด

มีเฉพาะวิชาหัวข้อคัดสรรเกาหลีศึกษา ที่อาจารย์เป็น Korean American พลังเยอะ และชอบชวนพวกเราคุย จนหลังๆ ต้องถามจี้ด้วยรอยยิ้ม สิ่งที่เป็นอุปสรรคของเราคือกำแพงภาษา ที่จะพูดในสิ่งที่อยากพูด ในภาษา IR ที่เป็นซับเซตของภาษาอังกฤษอีกที และต้องใช้เวลาทำการบ้านแต่ละอย่างนานหน่อย

ตอนเปิดเทอมมา เจอเพื่อนหลากสัญชาติมากๆ ในห้องไม่มีประเทศซ้ำกัน (ยกเว้นเกาหลี ซ้ำบ้าง) บางคนตอนแรกก็ดูเมินๆ ฉันมาเรียนอย่างเดียว แต่หลังจากผ่านพรีเซนต์ที่เครียดหมู่ เริ่มเห็นใจกันหลังจากโดนอาจารย์วิจารณ์พรีเซนต์เละ หมดสภาพหน้าชั้น เปิดเปลือยตัวตนที่รู้จักอ่อนแอและพ่ายแพ้ ก็เริ่มเปิดใจกันมากขึ้น

จำได้ว่าวันมิดเทอมที่หมดสภาพ บ้านหมุน แต่เพื่อนที่เดินกันออกมาจากห้องสอบ สภาพอิดโรยไม่ต่างกัน ก็ชวนกันไปกินไก่ทอดกันต่อแก้เครียด เลยได้รู้จักกันมากกว่าที่เจอหน้ากันสั้นๆ 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ที่ GSIS ยังมี Student Council ที่ขยันจัดกิจกรรมกับทริปภาคกระชับมิตรตลอดเทอม มีทั้งอีเวนต์เล็กๆ อย่างการไปปิกนิกในสวน ทำอาหารเกาหลี หรืออีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างไปต่างจังหวัดทริปหนึ่งวัน หรืองานฉลองปิดเทอม ที่ทำให้เราได้รู้จักคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เรียนด้วยกันในเทอมนั้น
ไปปิกนิกที่สวนฮันกัง ทริปภาคที่อันดง
และเพื่อไม่ให้นักเรียนใหม่เหงาใจ จึงมีระบบ mentoring จับคู่ดูแลกัน เราได้ mentor เป็นคนเอกวาดอร์ ที่ชอบ Epik High มากๆ และโชคดีมากที่ชอบไปนั่งดื่มเหมือนกัน! เขาเข้ามาผ่านโครงการ KOICA ซึ่งเป็นทุนสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ เขาให้คำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับการเรียนผ่านแก้วโซจูและเบียร์ที่ชงให้ไม่หยุดมือ

ปลายๆ เทอมไม่มีสอบให้ลำบากใจ แต่มีเปเปอร์ให้ส่ง หลังจากเราทำการบ้านส่งอาจารย์วิชาหัวข้อคัดสรรในเกาหลีศึกษามานาน (ชื่ออาจารย์ Kyong-mi Danyel Kwon เก่งมากๆ) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการอ่านและวิเคราะห์งานวิจัยและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้พลัดถิ่นเชื้อสายเกาหลี และเราเข้าไปปรึกษาหัวข้อเปเปอร์ ซึ่งเขียนไปได้ประมาณนึงแล้ว อาจารย์ก็ถามว่า “แปลกมาก ว่าทำไมเธอไปเรียนเอก IR เธอน่ะ มี literary mind นะ” แล้วก็ชวนให้เรียนเกาหลีศึกษาเป็นวิชาโท ซึ่งเราลองส่งเมลไปถามออฟฟิศดูแล้ว พบว่าทำไม่ได้
อยากบอกว่า หลังจากเรียน IR ได้สักพัก ก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเราเหมาะกับมันไหมเนี่ย เพราะมักจะมีปัญหากับการเริ่มตั้งคำถามวิจัยในศาสตร์นี้ ต่างกับเกาหลีศึกษาที่อินกับเนื้อหา เพราะเป็นเรื่องสังคมและศิลปวัฒนธรรม

อีกเรื่องหนึ่งที่บันเทิงเมื่ออยู่ที่นี่ คือการกินเยอะ กินสารพัด จนน้ำหนักขึ้นมา 2 กิโลในเวลาสองสัปดาห์แรก และยังไม่มีทีท่าว่าจะลด กระทั่งว่าตอนนี้เริ่มเบื่ออาหารซ้ำๆ
เราเคยคิดว่าเรากินไรก็ได้ เพราะในเมื่อตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็กินอาหารนานาชาติอยู่ประจำ แต่สุดท้ายเมื่ออยู่ที่นี่ไปนานๆ ก็จบที่การโหยหาอาหารไทยจัดจ้านแบบคนอื่นๆ เขา คิดถึงส้มตำ นาย ต. ที่ RCA แบบสุดๆ
นอกจากเรื่องของกิน เรายังชอบไปนั่งตามร้านกาแฟ ร้านโปรดก็คือ Pao Book cafe ที่บรรยากาศเป็นหนังสือมากมายรายล้อม กับร้าน Moon Cafe ซึ่งทำช็อกโกแลตอร่อย และมีภาพวาดจัดแสดงเหมือนเป็นแกลเลอรีเล็กๆ
ตอนมาที่นี่แรกๆ เป็นช่วงหน้าร้อน ต้องเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เริ่มหนาวมาก และห้องกึ่งใต้ดินเริ่มมีราปรากฏอย่างที่คนเขาเตือนกัน ซึ่งเป็นราที่เกิดแค่มุมเดียว เลยสันนิษฐานว่าเป็นท่อรั่ว อีกอย่างที่ประหลาดดี คือตากผ้าหน้าหนาวแล้วมันแข็งกรอบ พอเอามือไปจับถึงกับตกใจนึกว่ากางเกงเสีย
ความเศร้าประจำเทอมนี้คือ ร้าน Brown Cafe ใต้หอ i house ที่ชอบไปนั่งรอก่อนคาบเรียน อยู่ๆ มันก็หายว้าบไปเฉยเลย มันคือที่ที่เรานั่งปั่นพรีเซนต์ IR จนเสร็จ ก็รู้สึกผูกพันขึ้นมาซะงั้น
1 คิดบน “สรุปชีวิตเทอมแรก Fall 2019 ที่อีฮวา GSIS”