ทริปปูซานครั้งนี้ เราเลือกมาพักแถวหาดแฮอุนแด
ข้อดีคือที่นี่มีร้านอาหารเยอะมาก หลายร้านเปิดถึงดึกๆ เพราะเป็นย่านท่องเที่ยว และเดินชายหาดสะดวก หากใครอยากลองของสดหรืออาหารทะเลอย่างปลาไหลซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ ก็มีให้เลือกหลายร้านในตรอกที่เป็นตลาดท้องถิ่นของแฮอุนแด

ความประทับใจแรกหลังจากลงรถเมล์สาย 1001 จากสถานีรถไฟปูซานมาที่นี่ คือถนนสายหลักสู่หาดแฮอุนแด ที่อุทิศทางเดินตรงกลางให้คนเดินเท้าได้อย่างเต็มที่! สังเกตว่ารถยนต์มีเพียงพื้นที่เลนซ้าย-ขวาแบบวันเวย์เท่านั้น มีช่องให้กลับรถผ่านเกาะกลางบ้าง หากเดินบนฟุตบาทนี้ไปเรื่อยๆ จะเจอลานน้ำพุที่เปิดแสดงสามรอบต่อวัน (เพิ่มรอบในวันหยุด) ซึ่งหากไม่มีน้ำพุเราก็ใช้ทางเท้านี้ไปได้ถึงหน้าหาดเลย

ที่นี่มีบริการสาธารณะพร้อมสำหรับคนเดินทางด้วยขนส่งมวลชนมาเที่ยว ทั้งล็อกเกอร์เก็บของ ห้องอาบน้ำแยกชาย-หญิง ฝักบัวล้างตัวรูปต้นมะพร้าว ห้องน้ำสาธารณะฟรี ซุ้มสีน้ำเงินสำหรับให้เช่าอุปกรณ์อย่างห่วงยาง เสื่อ ฯลฯ ที่มีป้ายราคาบอกชัดเจน มีแท่นเป่าลมปัดฝุ่นจากเสื้อผ้าและรองเท้า เรียกได้ว่าคิดมาครบแล้วว่าคนมาเที่ยวทะเลต้องการใช้อะไรบ้าง

หากมองลงไปจากโรงแรม Elysia จะเห็นทางเท้าที่กว้างมากๆ และร้านอาหารที่มากมายจนเลือกไม่ถูก แต่ข้อเสียก็คือมลพิษทางเสียงจากสถานบันเทิงยามค่ำคืน
วันแรกที่ไป แดดยังส่องลงมาทำให้บรรยากาศดูสดใส แต่พอเอาเท้าแหย่น้ำทะเลแล้ว บรื๋อออ มันเย็นเจี๊ยบ ทำไมมันไม่อุ่นไปด้วย นี่คงเป็นสาเหตุที่มีคนลงไปเล่นน้ำบางตา
วันต่อๆ มาฟ้าก็ครึ้มตามระเบียบ หน้าร้อนที่นี่เป็นหน้าร้อนที่มากับฝน ก็ต้องเสี่ยงดวงเอาว่ามาแล้วจะติดฝนหรือเปล่า

สิ่งที่สังเกตเห็นและประทับใจที่หาดควังอันลีและหาดแฮอุนแดที่ปูซานก็คือ ที่นี่จะมีลำโพงประกาศเตือนเรื่องการรักษาระยะห่างและสวมหน้ากากอนามัยในช่วงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งเวลาที่อนุญาตให้ลงว่ายน้ำ (ประมาณ 9 โมงถึง 6 โมงเย็น) เตือนให้ขึ้นจากน้ำเมื่อไลฟ์การ์ดที่ประจำอยู่ในป้อมสีแดง (ตามภาพ) หมดเวลาทำงาน

ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ไม่ใช่เล่นๆ ไลฟ์การ์ดที่ควังอันลีที่เดียวมีประมาณ 8 จุด กระจายไปตามโค้งของหาดในระยะเท่าๆ กัน และพวกเขาไม่ได้แค่รอช่วยชีวิต ไลฟ์การ์ดเป่านกหวีดเตือนคนที่มาจุ่มเท้าริมหาดว่าคลื่นใหญ่พิเศษกำลังมาจากแต่ไกล จะได้หลบทัน ไม่เปียก
เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอาคารและร้านค้าเต็มไปหมด หาดควังอันลีและแฮอุนแดบางช่วงมีเศษขยะเกยตามแนวคลื่นสาด สักพักมีอาสาสมัครสูงอายุในชุดสีเขียวสะท้อนแสงมาคอยคราดขยะออก
แม้น้ำทะเลจะเย็นไปหน่อย ไม่ค่อยน่าเล่น แต่บรรยากาศแห่งความใส่ใจของคนทำงานเหล่านี้ก็ทำให้เราสบายใจขึ้นมา
ในเมื่อน้ำทะเลออกจะเย็นท้าทายสุขภาพกายไปหน่อย การมาหาดควังอันลีให้คุ้มค่าคือการที่เราได้นั่งชมวิวสวยๆ ในบรรยากาศสุดผ่อนคลายอยู่นาน สมกับที่ใครๆ ต่างบอกว่าอยากมานั่งโง่ๆ ที่ริมทะเล
เราเลือกร้าน CoffeeSmith สาขาที่อยู่บริเวณกลางๆ ขอบโค้งของหาด (มีร้านกาแฟยี่ห้อนี้หลายสาขาในย่านนี้) แล้วนั่งดื่มลาเต้เย็นดับร้อน คู่กับเค้กทิรามิสุ

ค่ำแล้วเริ่มหิว เราเลยเดินตามกูเกิลแมพไปยังร้านจองวอนแฮมุลทัง (정원해물탕) ไม่ไกลจากหาดควังอันลี ร้านดูธรรมดาๆ มากๆ ไม่ใช่ร้านเก๋เพื่อการถ่ายรูปแน่นอน พนักงานมีอยู่คนเดียว และคนแต่ละโต๊ะมีทั้งแบบมากันเป็นครอบครัวและกลุ่มเพื่อนสังสรรค์ ที่โซจูวางเกลื่อนบนโต๊ะ
แค่กลิ่นจากหม้อต้มก็รู้ว่าไม่ธรรมดา เราสั่งแฮมุลทังหรือต้มทะเลอย่างที่เห็นมากินด้วยกัน พนักงานหญิงซึ่งมีอยู่คนเดียวสาละวนไปบริการทุกโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอทั้งคอยตั้งโต๊ะ เอาหม้อวาง ตั้งไฟ ลวกถั่วงอกแล้วตักขึ้นมาคลุกเคล้ากับซอสเผ็ดในจาน ก่อนหยิบปลาหมึกที่สุกกับกำลังพอดี (นุ่มอร่อย ไม่เหนียว) ขึ้นมาวางเสิร์ฟให้ในจานถั่วงอก เมื่อมีลูกค้าหลายโต๊ะ ใบหน้าเฉยเมยนั้นคงมาจากการต้องตั้งสมาธิให้ดี เพราะมีหม้อหลายๆ ใบต้องดูแล
นอกจากปลาหมึกที่ความสุกต้องกำลังพอดี อาหารทะลที่เหลือในหม้อ พนักงานเพียงบอกว่าหัวปลาหมึกและหอยต้องรอให้สุกกว่านี้อีกนิดแล้วกินได้เลย เธอเติมหอยอีกเซ็ตหนึ่งแทนที่ถั่วงอกที่ถูกตักออกไป จากนั้นผายมือให้เรามีความสุขโดยลำพังกับแฮมุลทังกันต่อ กินเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่นแบบคลีนๆ ความหวานของหอยและปูแทรกซึมในน้ำซุปร้อนๆ ที่ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงมากมายอะไร หากต้องการความจัดจ้านก็เพียงคีบถั่วงอกเผ็ดๆ ตามเข้าไป
สำหรับแผนที่และหน้าตาร้านจองวอนสามารถดูได้จากแผนที่ข้างล่างนี้ รับรองว่าไม่ผิดร้าน
สำหรับคืนวันที่สาม เราฝ่าฝนไปดู Busan Cinema Center กันตอนสองสามทุ่มเพื่อถ่ายรูปอาคารสุดเท่ที่จะส่องไฟสีรุ้งวูบไหวในตอนกลางคืน ปรากฏว่าตอนที่เราไปถึงโรงหนังกลางแจ้งกำลังฉายหนังให้ชมฟรีอยู่ เขาเลยต้องดับไฟตรงนั้นที่เราตั้งใจจะมาดู! แต่อย่างไรก็ตาม เราก็หาความสุขได้ด้วยการตามน้ำ เข้าไปดูหนังฟรีที่เขาเอามาฉาย จนเมื่อหนังจบ แสงไฟที่รอคอยก็กลับมา

ขากลับ เรานั่งรถไฟ KTX กลับเหมือนเดิม เนื่องจากที่พักไกล ก็เลยต้องเผื่อเวลานั่งรถเมล์มาหนึ่งชั่วโมง พอมาถึงสถานีปูซานก็เหนื่อยจนไม่อยากไปไหนแล้ว ทั้งที่ยังมีสถานที่ที่ควรไปอีก
ในเมื่อเป็นทริปพักผ่อน เราจะต้องไม่ฝืนตัวเองกันเกินไป
ไว้จะมาใหม่นะ ปูซานนนน
