ก่อนเปิดเทอมไม่กี่สัปดาห์ก็เกิดเรื่องวุ่นวาย เพราะดันมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หลายๆ แหล่งข่าวบอกว่าเกิดจากผู้ชุมนุมจากโบสถ์คริสต์ที่ควังฮวามุน
จากเดิมที่มหาวิทยาลัยประกาศว่าการเรียนการสอนเทอมนี้จะเป็นแบบ Online ล้วนสำหรับห้องที่มีนักเรียนมากกว่า 50 คน หรือ Hybrid class สำหรับห้องที่มีนักเรียนน้อยกว่านั้น (หมายถึงว่านักเรียนสามารถเลือกว่าจะเรียนแบบ on/offline ก็ได้) ก็กลายเป็นต้องดริฟต์เปลี่ยนนโยบายกระทันหันก่อนเปิดเทอมไม่กี่วัน โดยการให้สอนออนไลน์ทั้งหมดในสองสัปดาห์แรก
จริงๆ เราเริ่มชินกับการเรียนออนไลน์แล้ว แต่ก็เข้าใจอาจารย์หลายๆ คนที่สอนวิชาที่ต้องการการมีส่วนร่วมมาก โดยเฉพาะวิชา ป.โท ของภาค International Studies หากนักเรียนไม่ได้มาเจอหน้าหรือคุยกันหลังเลิกเรียนเลย การมาเรียนไกลถึงเกาหลีคงไม่ตอบโจทย์อะไรหลายๆ อย่างจากคณะ
ล่าสุดมีประเด็นร้อนในกรุ๊ป KakaoTalk ของภาค ว่าสรุปแล้วมหาวิทยาลัยจะไม่คืนค่าเทอมให้นักศึกษา ป.โท จริงๆ หรือ ในเมื่อเขาคืนบางส่วนให้ ป.ตรี แถมค่าเทอม ป.โท ก็โหดกว่าด้วยซ้ำ (บอกเลยว่าคณะเราซึ่งเป็นอินเตอร์ก็คือเฉียด 200,000 บาท)
เราเสียโอกาสทั้งการได้เจอหน้า ทำกิจกรรมของสภานักศึกษา (ที่ปกติจะมีกิจกรรมกินเลี้ยง อบรมพิเศษ หรือไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน) และการใช้สถานที่ส่วนกลางอย่างห้องอ่านหนังสือ (เปิดบางส่วน) และที่นั่งในห้องสมุด
การเปลี่ยนนโยบายไปมาเพื่อตอบรับกับสถานการณ์ที่ยังขึ้นๆ ลงๆ ในเกาหลี เลยเป็นนิวนอร์มอลที่ยังไม่ปกติสำหรับหลายๆ คน พวกเขาสับสนว่าจะต้องทำตัวยังไงกันแน่ คนที่อุตส่าห์บินกลับมาที่เกาหลีเพื่อเรียนในห้อง ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าเทอมนี้ทั้งเทอมจะแห้วอีกหรือเปล่า
ทั้งหมดทั้งมวลก็โทษคณะไม่ได้ เราเชื่อว่าออฟฟิศก็คงสับสนพอกัน ต้องรอรับข่าวจากส่วนกลางอีกที และส่วนกลางก็ต้องรอฟังนโยบายจากรัฐบาลอีกที
วันนี้เราก็เพิ่งได้รับเมลด่วนจากออฟฟิศว่าไม่ต้องเข้าไปฝึกงาน ให้อยู่บ้านเพื่อป้องกันโควิดระบาด หลังจากมีข่าวว่าพบผู้ติดเชื้อที่มหาวิทยาลัย (เป็นคนละตึกและอยู่ห่างออกไปพอสมควร)
เทอมนี้เราลงเรียนวิชา Cross-Cultural communication เพราะได้ยินเพื่อนหลายคนบอกว่าอาจารย์ที่สอนวิชานี้ดีมาก ถึงแม้เราจะไม่ค่อยสนใจหัวข้อนี้เท่าไหร่ก็เถอะ อาจารย์ดูอยากเจอหน้านักศึกษามาก ยิ่งเป็นวิชาที่ต้องการการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมกันจริงๆ ในห้อง การเรียนออนไลน์คงเป็นฝันร้ายของคนเรียน(และคนสอน)วิชานี้ในเทอมนี้
แต่ถ้ามันจะเป็นนิวนอร์มอลของการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมในวันข้างหน้าจริงๆ เราก็ต้องเรียนรู้และยอมรับมัน