ห้องราเชลอุ่นเสมอ แม้จะเข้าหน้าหนาว อุ่นแม้ไม่ได้เปิด ‘อนดล’ (온돌) หรือระบบทำความร้อนจากพื้นแบบเกาหลี
ห้องนั้นเป็นห้องอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ที่จัดผังห้องกำลังพอดี ครัวกับตู้เย็นบิลต์อินเข้าผนังไปในระนาบเดียวกับตู้เสื้อผ้า
ที่พักก็ใกล้กับทางเข้า ม.อีฮวา นิดเดียว ราเชลซึ่งเป็น TA จึงเดินไปๆ กลับๆ ที่ออฟฟิศมหาวิทยาลัยได้สบายในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวนี้
เย็นวันนั้น ก่อนวันคริสต์มาสอีฟ หลังเลิกงานเรานัดกันกินปลาดิบที่ห้องราเชล มีซู-กย็องมาด้วย เราเคยเรียนกับซู-กย็องเมื่อเทอมที่แล้ว แต่นอกนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก นอกจากทักทายกันได้ลิฟต์ ส่วนราเชลรู้จักซู-กย็อง เพราะซู-กย็องทำงานในออฟฟิศศูนย์วิจัยห้องใกล้ๆ ราเชลถือโอกาสที่เราสามคนต่างชอบกินซาชิมิมานัดรวมตัวกันแบบนี้ ในช่วงเทศกาลที่โควิดกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง และเพิ่งมีประกาศห้ามรวมตัวกันเกินสี่คนไม่ว่าจะที่ไหนๆ การจะไปกินซาชิมิในร้านก็เลยเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป
ปลาดิบอร่อยและสดมาก เสียงอื้ม ดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน

ซู-กย็องใช้ข้อมือตวัดขวดโซจูยี่ห้อ ช็องฮา ขวับ-ขวับ–ขวับ สามจังหวะ เกิดเป็นทอร์นาโดกลางขวด
“โววววว” เราอุทาน ตบมือ ถือโอกาสคึกครื้นในคืนหนาวติดลบแบบนี้กระดกโซจูสักหน่อย แม้ปกติจะแพ้ทางเหล้าแรงๆ
กระดกแก้วเล็กๆ ฤทธิ์แรงยกซดแล้วซดอีกแบบไม่รู้ตัว เรายังรู้สึกมีสติดี แค่เฟรนด์ลี่ขึ้น 3 เท่า ยกน้ำซุปแถมจากร้านปลาดิบขึ้นมาซดตามอย่างสะใจ
“นี่นะ ต้องเริ่มจากเอาปากขวดไว้ที่ 6 นาฬิกา หมุนไป 2 นาฬิกา แล้วรีบตวัดกลับมาที่ 12 นาฬิกา” เราทำตามหลังจากเปิดโซจูขวดที่สามจนได้ทอร์นาโดในช็องฮาของตัวเอง

คุยเรื่องความสัมพันธ์ การทำงาน การเรียน เรื่องสัพเพเหระแรนดอมไม่ยั้งคิด แบบที่บทสนทนาในลิฟต์ไม่มีทางให้ได้
คนเกาหลีวัยเดียวกับซู-กย็อง (ประมาณ 23-24) เคยใช้เฟซบุ๊กบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ร้างไปแล้ว มีแต่คนอายุเยอะๆ ที่ยังใช้อยู่ ตอนนี้คนรุ่นเธอย้ายมาใช้โซเชียลมีเดียอย่างอินสตาแกรมเป็นหลัก
“แล้วมีโซเชียลมีเดียของเกาหลีที่เป็นที่นิยมบ้างไหม” ซู-กย็องบอกว่า ก็มีมั้ง แต่ตัวเองก็ไม่ได้ใช้อะไรนอกจากอินสตาแกรม แม้ใน Kakao จะมี Kakao Story ให้อัพโหลด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น
“ไม่มีแบบ Weibo อะไรแบบนั้นใช่ไหม”
ราเชล คนฮ่องกง ทำหน้ามุ่น “นั่นมันของจีน!”
“เออ รู้แล้ว ก็หมายถึงว่าไม่มีแพลตฟอร์มที่ฮิตๆ แบบนั้นใช่ปะ”
เราคิดถึงการที่ได้มาทำหน้าที่ Promoter ให้กับ Ewha GSIS ก็อาจเป็นเพราะว่าเราคุ้นเคยกับโซเชียลมีเดียหลายๆ แพลตฟอร์มมากกว่าคนเกาหลีโดยทั่วไป จึงสามารถมีไอเดียว่าควรทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อโปรโมตสถาบันให้คนต่างชาติรู้จัก
สติเราเริ่มเลือนๆ ภาพเริ่มผุบโผล่ เป็นแค่ซีนในหนังตอนตัวละครโดนมอมยา
เรารู้ตัวอีกทีหน้าห้องน้ำของราเชลก็เลอะซากปลาดิบเละๆ จากตัวเราเอง
“Ok, I should call Khaw now” ราเชลพูดนิ่งๆ กับซู-กย็องแล้วกดโทรศัพท์หาพี่ข้าวทันที เราให้เบอร์ไว้ตั้งแต่คราวก่อนโน้นที่นัดกินข้าวกับกลุ่ม Milk Tea Alliance แล้วดื่มเยอะจนน่าเป็นห่วง
แต่คราวนี้คือวิกฤตของจริง
เมื่อข้าวมาถึง เสื้อและกางเกงเราก็เลอะไปด้วยรอยอ้วก เราเข้าไปนอนกองอยู่ในห้องน้ำ อ้วกซ้ำ แล้วหลับ
ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเปียกอ้วกที่หัว ซึ่งนอนทับมันอยู่
ข้าวเล่าให้ฟังว่าระหว่างที่เราหมดสภาพแบบนั้น และข้าวทำได้แค่นั่งรอหน้าห้องน้ำ พร้อมคุยภาษาเกาหลีกับเพื่อนทั้งสอง ซู-กย็องก็เปิดเพลงเบาๆ คลอ บอกว่าเป็นเพลงสบายๆ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แต่ราเชลขำว่า จะบ้าเรอะ จะมาเปิดเพลงอะไรตอนนี้ ฮ่าๆๆ
“ไม่เคยดื่มด้วยมาก่อน เลยไม่รู้ว่าคออ่อนขนาดนี้” ซู-กย็องบอกข้าว
เราพยายามใช้สติที่มีน้อยนิดและร่างกายที่แค่ลุกยืนยังลำบากนั้นอาบน้ำและสระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ข้าวเอามาให้ สวมหน้ากากอนามัยสีดำ ข้าวสวมเสื้อกันหนาวและรองเท้าให้ เดินหิ้วปีกฝ่าลมหนาวตอนเที่ยงคืนออกมา
ระหว่างยืนรอสัญญาณไฟเขียวของคนข้ามถนน ผมเปียกๆ ที่เพิ่งสระของเราสัมผัสได้ถึงความหนาวสุดขั้วของโซล
คืนนั้นเรากลับมาอ้วกสลับนอนหลับแบบหมดแรงอยู่เป็นสิบรอบ ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงเก้าโมงเช้า แต่ละรอบว้ากออกมาเหมือนจะขาดใจ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของเรา และถ้าเราได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ ก็ไม่ใช่เพราะความเก่งกาจของตัวเอง แต่เป็นความเมตตาของธรรมชาติที่เรียกว่าร่างกายซึ่งแยกขาดจากเราโดยแท้
เป็นบทเรียนว่า อย่าคิดลองดีกับโซจูเกาหลีอีกเลย
(แต่ก็ยังอยากทำทอร์นาโดอีกนะ)