ยอซู (Yeosu) เมืองฐานทัพเรือและกองทัพอาหารทะเล

เรานั่งรถจากเกาะคอเจเดินทางมายอซูหลายชั่วโมง น่าจะพอๆ กับที่นั่งรถจากโซลไปคอเจ ทั้งๆ ที่ยอซูกับคอเจอยู่ที่ปลายสุดคาบสมุทรเกาหลีเหมือนกัน

ไปถึงตัวเมืองยอซูประมาณค่ำๆ ด้วยร่างกายที่หมดแรงจากการเดินทาง มาถึงที่พักธีมกระต่ายน่ารัก ที่คนเฝ้าเป็นหญิงวัยกลางคนสวมแว่นซึ่งดูหงุดหงิดเพราะถูกปลุกให้ตื่นมารับแขก ช่างขัดแย้งกับธีมกระต่ายแว่นสดใสที่ประดับประดาอยู่ตามผนังของที่พักทั้งข้างนอกและข้างใน

ห้องพักของเราที่ยอซูเป็นเตียงสองชั้น มีหน้าต่างเล็กๆ แค่เพื่อระบายอากาศ ไม่มีวิวอะไรน่าสนใจข้างนอก

ยอซูเคยเป็นศูนย์กลางของฐานทัพเรือยุคโชซ็อนอยู่หลายปี ก่อนที่ฐานทัพเรือปัจจุบันจะย้ายไปอยู่ทงยอง

ปัจจุบันที่นี่เป็นทั้งแหล่งส่งออกอาหารทะเลสด และมีนิคมอุตสาหกรรมยอซู ผลิตปิโตรเคมี กลั่นน้ำมัน ฯลฯ

จัตุรัสอีซุนชิน

ในเมื่ออาหารทะเลคือจุดขาย เราเลยมุ่งหน้าไปที่ตลาดอาหารทะเลซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับจัตุรัสอีซุนชิน เป็นลานโล่งๆ ติดทะเลสาบอยู่ใกล้กับวงเวียนที่มีอนุสาวรีย์จอมพลเรืออีซุนชินยืนตระหง่าน มีรถราแล่นผ่านเรื่อยๆ เขาเป็นผู้ที่สามารถนำทัพเรือชนะกองทัพเรือญี่ปุ่นได้จึงได้รับการเชิดชู

เราเลือกเข้าไปในร้านนังมันแฮมุลซัมฮับ อยู่ใกล้ๆ กับปากทางเข้า (ใช่ เพราะหิว) เป็นร้านอาหารทะเลปิ้งที่สดสุดๆ มีทั้งกุ้งเนื้อหวานๆ หอยเป๋าฮื้อ (ที่นี่เรียกว่า “ช็อนบก”) หมึกกล้วย หมึกยักษ์ ฯลฯ และพันชั่นหรือเครื่องเคียงหน้าตาแปลกๆ ของท้องถิ่นมากมาย

พนักงานหนุ่มละอ่อนสองคนที่สุภาพมากๆ เดินมาปูแผ่นพลาสติกบนโต๊ะ คนหนึ่งคอยบริการตั้งแต่เรียงของสดลงบนเตาและแนะนำว่าควรกินปลาหมึกนี้คู่กับหัวหอมดองสีชมพู ตอนแรกเราไม่เชื่อเพราะในฐานะคนสุราษฎร์ เรารู้สึกว่าโคตรไม่น่าเข้ากัน แต่พอลองเปิดใจกินตามปุ๊บ

เอ้ยยย อร่อยเฉยเลย

พนักงานหน้ามนทั้งคู่ดูอายุน้อย ลินถึงกับแซวกับเราว่าคนย้อมผมคนนั้นน่ารักจัง พรุ่งนี้น่ากลับมากินอีก สักพักพวกเขาก็เรียกคนในห้องครัวว่า “ออมม่า” เราเลยเข้าใจว่าคงเป็นธุรกิจครอบครัวที่ตั้งใจให้บริการลูกค้าสุดๆ

เรากลับมายืนอยู่ที่ลานกว้าง ทำให้นึกถึงลานในสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งรถเข็นขายของเล่นประดับไฟวิบวับที่โยนขึ้นไปบนฟ้าและส่งเสียง เด็กเล่นโรลเลอร์เบลดไปมา ครอบครัวที่เข็นรถเข็นเด็กรับลมทะเล ฯลฯ

แต่ตอนกลางวัน ยอซูเป็นเมืองเงียบๆ ไม่เห็นเงาของนักท่องเที่ยว มีขนส่งมวลชนที่เป็นมาตรฐานและมีแม้กระทั่งจักรยานของเมืองให้ใช้ (มีหมวกนิรภัยแขวนติดกับจักรยานไว้ให้ด้วย)

เช้าวันที่สองที่ยอซูนี้ เราเริ่มต้นวันด้วยการยืนรับลมเย็นกลางแดดจัดกลางฤดูใบไม้ร่วง รอรถเมล์ที่ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะมาสักคัน

เพราะรถสายนั้นมุ่งหน้าไปสู่วัดบนภูเขาริมทะเลอันห่างไกลจากตัวเมือง

วัดฮยังอิรัม

รถเมล์สายยาวนั้นคุ้มค่าที่สุดในทริปครั้งนี้ มันเป็นเส้นทางที่มีวิวให้ดูอยู่เรื่อยๆ เพราะรถแล่นไปตามถนนริมฝั่งทะเล บ้างลัดเลาะเชิงเขาสลับมาโผล่ชายทะเล บางช่วงเป็นเวิ้งที่เราได้เห็นภาพหมู่บ้านและท้องทะเลสีครามจากมุมสูง เปิดหน้าต่างรับลมอ่อนๆ เข้ามา หากเผลอๆ อาจเคลิ้มหลับไปกับวิวสวยๆ นั้น

มีเพียงช่วงหนึ่งที่รถแล่นผ่านส่วนที่เหมือนเป็นโรงงานปลาหรืออะไรสักอย่าง น้ำทะเลชายฝั่งมีริ้วฟองแดงๆ และมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วโพรงจมูกอยู่สักพัก

ในที่สุดรถก็พามาถึงสถานีสุดปลายทาง คือวัดฮยังอิรัม หมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของวัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องกิมจิอร่อย สูตรเฉพาะของท้องถิ่น ระหว่างทางขึ้นเขาลาดชันสู่ตัววัดนั้นเลยมีกิมจิขายอยู่เต็มข้างทาง แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าทริปของเรายังอีกหลายวัน การเดินถือกิมจิเดินไปมาก็คงฉุนรูจมูกไม่น้อย

พอเป็นช่วงเทศกาลชูซ็อก คนก็เลยมาทำบุญเยอะหนาตา ที่วัดเองก็ทำขนมเทศกาลชูซ็อกแจกให้ทุกคนที่มาวัด แม้จะใช้เวลาปีนขึ้นมาจนเหนื่อยหอบ แต่วิวบนวัดนั้นสุดยอดมากๆๆๆ มันคือความแปลกตาที่เสียงกระดิ่งเบาๆ ในวัดนั้นพัดไปตามแรงลมทะเลอ่อนๆ บนภูเขาสูง มองเห็นวิวแบบพาโนรามา เราใช้เวลามองทิวทัศน์นั้นอยู่นาน ระหว่างที่ลิน เพื่อนเวียดนาม ไปไหว้พระและเขียนคำอธิษฐานบนแผ่นใบไม้สีทอง ผูกไว้กับเชือกให้พัดแวบๆ เล่นล้อไปกับลม

จริงๆ ที่นี่มีทางเดินให้ปีนเขาสูงขึ้นไปอีกสู่จุดชมวิว แต่เราบอกลินว่าเราขอบาย แค่นี้ก็สวยมากๆ แล้ว ลินบอกว่า โอเค ไอ้อ่อน นั่งเฝ้ากระเป๋าไป แต่ขอยืมกล้องฟิล์มหน่อยนะ ว่าแล้วเธอก็หยิบกล้องฟิล์มเดินขึ้นไปบนเขา

เรานั่งดื่มกาแฟ (ที่ไม่อร่อย) แล้วมองวิวตรงนั้นที่ว่าสวยและสงบ คิดถึงขั้นว่าถ้าเราบวชในบรรยากาศแบบนี้ก็อาจตรัสรู้ได้ (เพ้อเจ้อ!!)

สักพักมีกลุ่มครอบครัวหนึ่งมายืนค้ำหัวคุยกันชิดแผ่นหลังเรา พยายามกดดันให้เราลุกไปจากตรงนั้นเพราะเขาจะนั่ง

เห้อ… อุตส่าห์มาถึงวัด ทำไมจิตใจคิดแก่งแย่งกันจังเลย

ธรรมะสวัสดีนะ

เราย้ายไปนั่งทำสมาธิที่อื่น

ร้านกาแฟ Moi Fin

เมื่อฮวังมีเอ เพื่อนเกาหลี เห็นรูปจากอินสตาแกรมว่าเรามาเที่ยวยอซู เธอก็เลยส่งโลเคชันร้านกาแฟยอดฮิตมาให้ เป็นร้านที่คนนิยมถ่ายรูปลงอินสตาแกรม แม้ตอนแรกจะไม่ได้อยู่ในแผนการท่องเที่ยวของลิน แต่เธอก็ยอมแวะในเมื่อเป็นทางผ่านขากลับที่พักอยู่แล้ว

จริงๆ ที่ร้านนี้นอกจากสถาปัตยกรรมและวิวพาโรนามาหลักล้านแล้วก็ไม่มีอะไรเลย กาแฟที่เราสั่งอร่อยแปลกๆ ดี แต่เค้กไม่ถูกปาก และมีเสียงอื้ออึงของลูกค้าที่เต็มร้าน ไม่ได้ดูสงบนิ่งๆ แบบในรูปถ่าย

บางมุมต้องต่อคิวถ่ายรูป ช็อตนึงที่ตลกคือลินต่อคิวคนจีนถ่ายรูปมุมเก๋อยู่นาน แต่พอไปถึงจุดถ่ายแล้วตั้งท่านางแบบปุ๊บ ลุงแก่ๆ สวมเสื้อหนังกลุ่มหนึ่งก็โผล่เข้าฉาก เข้ามาคุยกันแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่านี่เป็นมุมถ่ายรูปสุดชิค เราพยายามหลบมุมกล้องยังไงก็ทำไม่ได้ 555

ภาพวิวจากร้าน Moi Fin มองลงไปจะเห็นหาดหิน (ใช่ มันคือหินกลมๆ ไม่ใช่ทราย)

แม้จะดูไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าเป็นสายอินสตาแกรม การมายอซูแล้วไม่มา Moi Fin ก็คงดูเป็นการพลาดแลนด์มาร์กสำคัญไป

เกาะโอดงโด

ปิดท้ายทริปยอซูด้วยการไปชมพระอาทิตย์ตกที่เกาะโอดงโด เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีสะพานยาวเชื่อมกับตัวแผ่นดินหลัก ให้ความรู้สึกเป็นสวนสาธารณะรื่นรมย์ขนาดใหญ่ที่มีคนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด ปกติที่นี่จะมีการแสดงแสงสีเสียงน้ำพุเป็นรอบๆ แต่เมื่ออยู่ในช่วงโควิดระบาด เขาก็เลยหยุดพักไป เพื่อป้องกันไม่ให้คนมาอยู่ใกล้ชิดกันตอนมุงดูการแสดง

อีกครั้งที่ลินเดินขึ้นเขาไปดูประภาคารบนยอดเขาของเกาะ ส่วนเราก็ยืนนั่งดูทะเลและเรือที่วิ่งผ่านเข้า-ออกท่าเรือเงียบๆ พอเริ่มโพล้เพล้ แสงไฟจากตึกสูงต่างๆ บนยอซูก็ส่องสว่างแวบวาบ เป็นกราฟฟิกสีสดใส รับช่วงต่อจากแสงอาทิตย์สีส้มที่เพิ่งลับหายไปหลังภูเขาซึ่งเป็นแบ็กกราวด์ของเมือง

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.