เราเคยเล่าไปในโพสต์ที่แล้วว่าเราได้ฝึกงานที่ออฟฟิศของบัณฑิตวิทยาลัยที่เรียนอยู่ รวมทั้งเล่าบรรยากาศการทำงานในช่วงต้นๆ ไว้ด้วย แต่โพสต์ตอนนี้จะมาอัปเดตว่าหลังจากทำงานครบช่วงฝึกงาน 5 เดือนแล้ว (ส.ค.-ธ.ค. 2563) มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ช่วงเดือนสิงหาคม เรายังทำงานสบายๆ อยู่ เพราะยังไม่เปิดเทอม ช่วงนี้เองที่เราเริ่มทำสต็อกเรื่องทิ้งไว้ รีบติดต่อเพื่อนและอาจารย์ที่อยากสัมภาษณ์ไว้แต่เนิ่นๆ เพราะถ้าหากเปิดเทอม แน่นอนว่านอกจากเราจะยุ่งแล้ว บุคคลเหล่านี้ก็จะยุ่งไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วจะสำเร็จ เราก็เลยมีเรื่องเตรียมไว้ในมือประมาณหนึ่งที่พร้อมโพสต์ แล้วช่วงเปิดเทอมก็ใช้เวลาที่ต้องเข้าออฟฟิศทำงานจิปาถะเช่นหาอะไรมาอัปเดตเฟซบุ๊กของสถาบัน บางสัปดาห์ยุ่งกับการเรียนกับการทำเปเปอร์มากๆ แต่ก็ดีที่มีเรื่องที่ทำเตรียมเอาไว้ เลยไม่ขาดช่วง พอเดือนตุลาฯ คุณโอซ็องฮีซึ่งเป็นหัวหน้าก็บอกให้ย้ายไปยังที่นั่งประจำตำแหน่ง เราตื่นเต้นมากจนต้องหันไปถามว่าขอถ่ายรูปได้ไหม 55

ดูเหมือนที่ออฟฟิศจะพอใจกับผลงานของ promoter ที่ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังให้ทำอะไรขนาดนี้ ทั้งการที่เราเข้าไปปรับหน้าตาของ Ewha GSIS blog เรื่องน่าเสียดายก็คือคุณโอซ็องฮีที่เป็นหัวหน้าเรากำลังจะลาออกไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ ม.โซล วันสุดท้ายที่เขาทำงาน เขาให้กำลังใจเรื่องการทำงาน บอกว่าถ้ามีงานเขียนอีกก็ส่งมาให้อ่านด้วย เขาชอบอ่าน เราก็เลยได้ขออีเมลติดต่อมา (แต่พอหลังจากนั้นเราก็ยุ่งๆ เลยยังไม่ได้เขียนอีเมลไปขอบคุณอย่างเป็นทางการเลย)
ลักษณะเด่นของเขาที่ทำให้เราทำงานกับหัวหน้าคนนี้ได้ดี คือการที่เขาคอยชมจุดที่ชอบ และแนะนำส่วนที่เห็นว่าอยากให้แก้
ด้วยวิธีพูดบางอย่างที่มีจิตวิทยา เราเลยไม่รู้สึกว่าถูกกดและเกิดแรงต่อต้านเลย การโหยหาคำชมก็เป็นเรื่องปกติของเราที่อยากเช็กว่าที่ทำอยู่นั้นได้เรื่องได้ราวจริงๆ ไหม ไม่ใช่ว่าอยากถูกยกยอให้ลอยรายวัน อะไรแบบนั้น
หลังจากคุณโอซ็องฮีออกไป เราก็ทำงานกึ่งอิสระ เดิมทีเขาก็ไม่ได้บังคับหรือสั่งงานอะไรมากอยู่แล้ว แต่เป็นลักษณะของการทำงานไปเสนอว่าผ่านหรือไม่ผ่าน เราว่าเขาคงชอบตรงนี้ เพราะงานที่เขามีอยู่ก็เต็มมือเกินกว่าจะมาช่วยเด็กฝึกงานคิดว่าต้องทำอะไร พอคุณโอซ็องฮีออกไป เราก็ทำงานอย่างที่ทำทำมา ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ในที่ทำงาน เราได้รู้จักเพื่อนที่ทำงานเป็น TA ประจำออฟฟิศ ทำให้ได้รู้จักหน้าที่ของ TA ไปในตัว เพราะบางครั้งเราก็ช่วยเขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ที่ทำได้ แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับงาน promoter โดยตรง TA บางคนคอยแปลเอกสาร คอยเป็นล่ามให้อาจารย์เวลาต้องติดต่อขอทุน บางคนออกไปส่งไปรษณีย์ บางคนคอยทำงานบ้านในออฟฟิศ! ฯลฯ ไปๆ มาๆ เพื่อนอเมริกันที่นั่งคุยจ้อกันโต๊ะข้างๆ ก็ลงสมัครสภานักเรียน แล้วได้รับเลือกเป็นประธาน
พอเราใกล้ฝึกงานจบตอนต้นเดือนธันวา ผู้จัดการคว็อนก็เรียกเข้าไปหา แล้วถามว่าจะฝึกงานครบชั่วโมงเมื่อไร เราบอกว่าเหลืออีก 4 ชั่วโมง เขาก็เลยเสนอตำแหน่งพาร์ทไทม์ให้ทำช่วงปิดเทอมฤดูหนาว แต่ก็พูดด้วยสีหน้าเกรงใจนิดหน่อย บอกว่ามีค่าตอบแทนให้ แต่มันไม่เยอะหรอกนะ แค่ประมาณ 8,500 วอนต่อชั่วโมง (เรายิ้มในใจ) จริงๆ นี่ก็คือค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายของเกาหลี แต่เมื่อเทียบเป็นเงินไทยแล้ว คุ้ม!
งานของเราใช้เวลาแค่ 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เขาคาดหวังให้เราทำอย่างที่เคยทำมา เพิ่มคอนเทนต์แนะนำสถาบันเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เปลี่ยน คือคนที่ทำงานด้วย
ช่วงหนึ่งเรามีปัญหานิดหน่อย เมื่อเจอเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ลักษณะการทำงานไปด้วยกันไม่ได้เท่าไร เราอึดอัด ทำตัวไม่ถูก ลองพูดกับเขาแล้วว่าเราชอบทำงานแบบไหน โดยอ้างอิงถึงกระบวนการทำงานกับคุณโอซ็องฮี แต่สุดท้ายก็สื่อสารกันไม่ค่อยราบรื่น
เราเลยถามผู้จัดการคว็อนว่าถ้าเป็นอย่างนี้เราควรลาออกไหม เพราะเราก็ทำงานไปแค่ 10 ชั่วโมง ปรากฏว่าแทนที่เขาจะแสดงความโกรธออกมา เขากลับขอโทษที่ไม่มีเวลาได้สังเกตปัญหานี้ เขียนอีเมลมาอธิบายอย่างละเอียด บอกว่าอันที่จริงคนที่เราทำงานด้วยไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงกับสิ่งที่เราทำอยู่ แต่แค่อยากเข้าไปช่วย
เราเข้าใจดีว่าทุกคนมีเจตนาดี แต่วิธีการทำงานของพวกเราอาจไปด้วยกันไม่ได้ ผลสรุปก็คือ เราเสนอผู้จัดการไปตรงๆ ว่าเราขอทำงานเป็นเอกเทศอย่างที่เคยทำ เพราะมันก็โอเคดีแล้ว เหมาะกับตำแหน่งพาร์ทไทม์อย่างเราด้วย เขาบอกทันทีว่าเข้าใจและเห็นด้วย เสริมอีกว่าต่อไปนี้ถ้ามีปัญหาอะไรก็ขอให้บอกมาได้เลย อย่าเก็บไว้
แต่ผลอีกอย่างที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้จากดีลนี้ คือภาวะประดักประเดิดระหว่างเรากับเพื่อนร่วมสำนักงานคนนั้น
เพื่อให้งานเดินต่อไปได้ บางครั้งคนเราก็ต้องตัดสินใจอะไรแบบนี้ สมการในหัวบอกว่าเราตัดสินใจถูกแล้ว ไม่งั้นเราก็ต้องเป็นฝ่ายที่ทิ้งงานแทน ทั้งที่เราพอใจกับการทำหน้าที่นี้มาก (แหะๆ แถมได้ค่าตอบแทนด้วย!)
นอกจากเรื่องเงิน การที่เราตอบรับทำงานพาร์ทไทม์ต่ออย่างไม่ลังเล ก็เพราะเราย้อนนึกถึงวันแรกๆ ที่มาฝึกงานแล้วอยู่ๆ ก็ได้ตำแหน่ง Research Assistant หรือผู้ช่วยวิจัยมาด้วย (ซึ่งทำให้ได้ทุนการศึกษาตอบแทน) เราแอบนึกหวังว่า ไม่รู้ว่าหลังจากงานพาร์ทไทม์นี้ มันจะต่อยอดไปสู่โอกาสการทำงานอื่นๆ ในเกาหลีหรือเปล่า
มาดูกันว่างานพาร์ทไทม์ระยะเวลาสองเดือนนี้จะเป็นยังไงต่อ จะมีดราม่าอะไรอีกหรือเปล่า!?
1 คิดบน “จากฝึกงาน ต่อยอดสู่งานพาร์ทไทม์”