“คุณกำลังจะฉีด ‘ฮไวจ้า’ ปริมาณเท่านี้ นะคะ” เจ้าหน้าที่ชูกระบอกฉีดยาผอมบาง เมื่อมั่นใจว่าเราเห็นและพยักหน้าแล้วก็เริ่มฉีด
ฮวา-อี-จ้า คือสำเนียงคนเกาหลีตอนเรียกชื่อวัคซีนไฟเซอร์
เมื่อหลายเดือนก่อน เพื่อนบางคนที่ไทยคงได้ฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้ว แต่ที่เกาหลี เราต้องรอตามลำดับคิวกลุ่มคนอายุสูงและบุคลากรทางการแพทย์ หรือกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนมากกว่า เช่น คุณครูอนุบาล-ประถม ด้วยเหตุนี้ ตอนต้นปี เราอ่านข่าวทีไรก็เห็นว่าเขาจะให้คนกลุ่มอายุ 18-49 ก็ต่อเมื่อเข้าไตรมาสที่สาม
นาน แต่เราชอบความแน่นอนนี้
เพื่อนต่างชาติบางคนบอกว่า ก็ไม่แน่หรอกว่าชาวต่างชาติจะได้คิววัคซีนเท่าเทียมกับคนเกาหลีหรือจะถูกเลือกปฏิบัติ เราทดสมมติฐานนี้ไว้ในใจ แต่เอาเข้าจริงลึกๆ แล้วก็ไม่ได้กังวลเท่าไร
สำนักข่าวไทยบางแห่งไปสำรวจว่าคนเกาหลีบ่นเรื่องนี้ไว้อย่างไร เขาบอกว่ามีคนที่ต้องรีเฟรชแอพฯ หาวัคซีนเหลือตลอดทั้งวันเพราะวัคซีนขาดแคลน นั่นเป็นความจริงที่จริงไม่หมด เพราะระบบที่ว่านั้นเป็นเพียงทางเลือกเสริม กรณีที่มีคนไม่มาฉีดวัคซีนตามนัดและแทนที่จะทิ้งวันซีนเหลือ ก็เชื่อมข้อมูลสถานพยาบาลเข้ากับแอพฯ แผนที่ยอดนิยมอย่าง Naver Map และ Kakao Map เพื่อให้คนที่พร้อมจะฉีดเข้าไปรับวัคซีนได้ทันทีในวันนั้น


แต่ในเมื่อมันเป็นแค่ออพชันเสริม ก็แน่นอนว่ามีการแข่งขันช่วงชิง ไม่ใช่ว่าลงทะเบียนในระบบแล้วจะได้แน่นอนทันใจ เราว่าไม่แฟร์เท่าไรที่บอกว่าเป็นความล้มเหลวของแผนการวัคซีน
พอถึงต้นเดือนกรกฎา ก็เริ่มมีการประกาศว่าเดือนสิงหาจะเป็นเวลาของคนกลุ่มเราที่จะได้ฉีดแล้วนะ ตามที่ภาครัฐนัดกับเราไว้คร่าวๆ แม้จะเริ่มกังวลแต่เขาไม่ปล่อยให้เราสงสัยนาน เพราะถึงเวลาก็ประกาศว่าให้เข้าไปลงทะเบียนได้วันไหนๆ
สำหรับคนทั่วไป เขาบอกให้เข้าไปลงทะเบียนตามวันที่ที่กำหนดไว้ (ตามหมายเลขสุดท้ายของวันเกิด เช่น คนที่เกิดวันที่ 1, 11 ,21 31 ก็จะต้องไปลงวันเดียวกัน น่าจะเพื่อกันระบบล่ม แต่เลือกวัน-เวลาที่จะไปฉีดได้) สำหรับชาวต่างชาติบางกลุ่มที่ไปลงทะเบียนไว้ล่วงหน้ากับศูนย์ชาวต่างชาติ ที่เรียกว่า Global Center เขาจะจัดคิวพิเศษให้ลงทะเบียนก่อนใครเพราะถือว่าเป็นกลุ่มคนไร้ที่พึ่งในสังคม กลายเป็นการเลือกปฏิบัติแบบกลับทางกับสมมติฐานที่มีตอนแรกซะงั้น แต่เป็นการเลือกปฏิบัติที่มีเหตุผลรองรับ
เราเลยได้คิวตั้งแต่วันที่ 18 สิงหา แต่ทั้งๆ ที่ระบบไหลลื่น น่าประทับใจมากในวันนั้น เพราะเจ้าหน้าที่คอยบอกทางตลอดเวลาแบบไม่มีสักวินาทีที่ยืนป้ำๆ เป๋อๆ แต่อุณหภูมิเราดันสูงกว่าเกณฑ์ซะงั้น หมอบอกให้ไปนั่งพัก 10 นาทีก็แล้ว ยังวัดได้เท่าเดิม เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาก็เลยให้นัดวันมาใหม่ เพราะเกินเกณฑ์ที่ควรรับวัคซีน
แต่เพื่อความสบายใจเราเลยออกจากที่นั่นแล้วเดินไปสถานีตรวจโควิด ปรากฏว่าวันต่อมาผลออกมาว่าไม่มีเชื้อ ก็เลยหายห่วงไปได้เรื่องหนึ่ง อาจจะแค่นอนน้อยเฉยๆ
สุดท้ายเมื่อวานนี้ก็ได้ฉีดสักทีตามที่เลื่อนนัดไว้ แถมคนน้อยมากๆ ด้วย สถานที่ฉีดเป็นศูนย์ศิลปะแห่งเขตมาโพ ซึ่งอยู่ในละแวกใกล้บ้าน สามารถเดินเท้าไปได้ในระยะ 10 นาที ทุกขั้นตอนเขาจะถามย้ำๆ ว่าฉีดเข็มที่หนึ่งใช่ไหม และบอกเราจนแน่ใจว่าเรากำลังจะได้ฉีด ไฮวจ้า นะ และจะมีอาการต่อไปนี้ ให้ทำตัวยังไง
เมื่อฉีดแล้ว เราจะได้ทั้งใบรับรองการฉีดและนัดหมายสำหรับครั้งที่สอง ถ้าเปิดในแอพ Naver หรือ Kakao เราจะเห็นว่ามีใบรับรองการฉีดวัคซีนแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ด้วย (แน่นอนว่าหลังจากที่เรากดยินยอมให้เชื่อมต่อข้อมูลแล้ว)
นี่คือข้อดีที่ระบบฐานข้อมูลของรัฐนั้นเชื่อมโยงกับเอกชน และมีประสิทธิภาพเพื่ออำนวยความสะดวกให้เรา (และรัฐด้วยในทางกลับกัน)

การได้ฉีดวัคซีนมาพร้อมกับเรื่องดีๆ อีกหลายอย่างในช่วงนี้ เรากำลังจะเรียนจบ ป.โท จากอีฮวาอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่จะถึง พร้อมกับการเรียนจบคอร์สภาษาเกาหลีคอร์สแรกที่ซอกัง
แม้จะไม่มีงานรับปริญญาแบบเจอหน้ากันตัวต่อตัว แต่วันศุกร์นี้จะมีงานแบบออนไลน์ที่เชิญศิษย์เก่ามาร่วมด้วย ไว้ถ้าพิธีเสร็จแล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง
ในโอกาสนี้เราทำคลิปกับเพื่อนๆ ลงใน YouTube ของ Ewha GSIS ไว้ด้วย เป็นคลิปแกะของขวัญที่ได้จาก Ewha GSIS เพื่อแสดงความยินดีที่เรียนจบ
อย่างที่เคยเล่าไปว่าพอเรียนเทอมสุดท้ายที่อีฮวา (หรืออีแด) มีช่วงสัปดาห์ท้ายที่เราเริ่มคอร์สเรียนภาษาเกาหลีที่ซอกังควบไปด้วย วันที่มีสอบหรือพรีเซนต์เลยต้องโดดเรียนภาษาบ้าง แล้วก็อย่างที่คาด การเรียนที่ซอกังยากสำหรับเรามาก เมื่อเราสอบวัดระดับตอนเข้าเรียนด้วยการสอบเขียนและสัมภาษณ์ ก็ได้รับการจัดให้ไปอยู่ กึบ 3 หรือเลเวล 3 จาก 7 ซึ่งเป็นเลเวลที่ซอกังมี แต่เราไม่เคยเรียนที่นี่มาก่อน เราเลยเข้าไปด้วยสภาพที่ดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรที่สุดในห้อง ไม่ว่าจะแพทเทิร์นการสอนหรือเกมที่เขาเล่นเพื่อช่วยจำศัพท์
พอเป็นการเรียนแบบเน้นพูด แต่เราดันเป็นแค่เสือกระดาษที่ทำและอ่านข้อสอบได้ดี แต่พูดแทบไม่ได้เลย เราเลยทรมานหนักมากในช่วงแรกๆ ถึงขั้นป่วยไปโรงพยาบาล 555 แต่ในเมื่ออาจารย์ประจำชั้นยังไม่ไล่ให้ไปอยู่ห้องเลเวล 2 เราก็ทนเรียนต่อไป โดยพี่ข้าวเป็นโค้ชช่วยติวเข้มให้ตอนสอบกลางภาค ช่วยทำแฟลชการ์ดและสอนเทคนิคท่องศัพท์ยากๆ ให้ และซ้อมตอบคำถามสัมภาษณ์
บอกเลยว่าไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะต้องเรียนภาษาอย่างจริงจังขนาดนี้ เคยนึกภาพว่าจะเป็นปีแห่งการพักผ่อนหลังตรากตรำกับ ป.โท มาสองปี
แอคเคานต์ grumpyaliens ซึ่งเป็นแหล่งรวมมีมส์คนต่างชาติในเกาหลีเคยทำภาพล้อเลียนไว้ว่าหนังสือเรียนซอกังโหดประมาณนี้
แต่อันที่จริงเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันถือว่าโหดไหม เพราะไม่เคยสอบ TOPIK
รู้แต่ว่าการเรียนซอกังเคี่ยวเข็ญเรามากกกกก มากจริงๆ มากเกินกว่าที่เคยคิดไว้ว่าโรงเรียนสอนภาษาจะมีบรรยากาศการเรียนเป็นยังไง ก็หวังว่าถ้าเรียนไปจนถึงเลเวล 6 จะพอแปลงานอะไรได้อย่างชำนาญ คิดว่าอีกไม่นานคงได้ใช้ทำงานอย่างมืออาชีพกับเขาบ้าง
เมื่อจบคอร์สแต่ละเลเวล เขาจะออกใบเกรดให้เป็นแบบนี้ ตรงพาร์ทการสอบพูดเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เลยมีรายละเอียดว่าเรายังด้อยตรงไหนบ้าง (ของเราส่วนที่ด้อยที่สุดคือ accuracy หรือความแม่นยำถูกต้องในการใช้คำและไวยากรณ์ แม้จะเข้าใจบริบทเรื่องที่คุยอยู่)
ส่วนข้างล่างเป็นคะแนนโดยรวม และระบุว่าเลเวลต่อไปคืออะไร หมายความว่าต้องสอบผ่านเกณฑ์ 80% และไม่มีวิชาไหนต่ำกว่า C เท่านั้นถึงจะเลื่อนชั้นได้ ไม่งั้นก็ต้องเรียนซ้ำวนไป
ไว้เรียนเลเวลต่อไปแล้วจะมาเล่าใหม่ว่าเป็นยังไงบ้าง :D