เรื่องปวดหัวของการเปลี่ยนวีซ่า D2-D4-D10

เป็นช่วงสองสัปดาห์ที่เหนื่อยและกังวลกับการเปลี่ยนวีซ่า เราเคยวางแผนไว้ว่าถ้าจบโทเมื่อไรจะเปลี่ยนวีซ่าจาก D2 (เรียนต่อโท) มาเป็น D4 (เรียนภาษา) แต่คำถามก็คือต้องเปลี่ยนเมื่อไรและเปลี่ยนยังไง

เรื่องมันเริ่มมาจากก่อนหน้านี้ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองส่งจดหมายแจ้งข่าวให้ผู้ถือวีซ่าที่วีซ่ากำลังจะหมดอายุในเดือนกันยายนนี้ได้รับการขยายเวลาวีซ่าอัตโนมัติกลายเป็นเดือนธันวาคม จุดประสงค์ก็คือเพื่อให้คนไม่ต้องรีบไปแออัดใช้บริการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีอยู่ไม่กี่สาขาเพื่อจะรีบต่อวีซ่าตัวเองก่อนหมดอายุ

เราก็เลยชะล่าใจว่า โอเค ยังไม่ต้องรีบไปทำหรอกมั้ง แถมการจะขอเอกสารจากซอกังก็ต้องมีใบจบจากอีฮวาไปยืนยันวุฒิก่อน (จะใช้ใบปริญญาจากไทยก็ได้แต่ต้องเอาไปรับรองที่สถานทูตก่อน ซึ่งเราหาข้อมูลไม่เจอเลยว่ารับรองกับสถานทูตไทยในเกาหลีได้หรือเปล่า เลยใช้ของเกาหลีเลยดีกว่า)

แต่จู่ๆ เพื่อนที่จบพร้อมกันก็พูดกันว่า เอ้ย การต่ออายุวีซ่าให้นั้นไม่มีผลกับคนที่เรียนจบในปีนี้ (**ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกที) ใครก็ตามที่เรียนจบในเดือนสิงหาคม มีหน้าที่จะต้องรีบไปเปลี่ยนวีซ่าเป็นประเภทอื่นภายใน 15 วันหลังจากจบอย่างเป็นทางการ แต่!!! ข้อเท็จจริงที่ว่านี้กลับเปลี่ยนเปลี่ยนมาระหว่างที่เรากับเพื่อนหาข้อมูลจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทรหา 1345 ซึ่งเป็นเบอร์คอลเซ็นเตอร์ของ ตม. หรือการโพสต์คำถามในเว็บไซต์ HiKorea หรือการโทรไปถามที่มหาวิทยาลัย ก็ได้คำตอบที่ไม่ตรงกันเลยสักที่ สับสนมากๆ

  • โทรถาม 1345 บอกว่าเปลี่ยนจาก D2 เป็น D4 ในเกาหลีได้สิ ก็ในเมื่อจะเรียนภาษาต่อ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องเปลี่ยนเมื่อไร
  • โพสต์ถาม HiKorea บอกว่า ก็ยื่นคำขอเปลี่ยนได้นะ แต่เจ้าหน้าที่ก็มีสิทธิพิจารณาเอกสารแล้วไม่ให้ทีหลังก็ได้ (ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้)
  • ศูนย์ภาษาซอกังโทรมาบอกว่า กรณีแบบเรานี่โดน ตม. ปฏิเสธหน้างานมาสามสี่คนแล้ว ว่าเปลี่ยนเป็น D4 ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เคยโทรถามแล้วบอกว่าได้ เป็นคนไทยกับคนอินโด เพราะฉะนั้นเลยอยากให้เผื่อใจไว้ก่อนว่าอาจจะเจอเหมือนกัน
  • ส่วนออฟฟิศมหาลัยบอกว่า เรียนจบแล้วมีเวลาแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ให้รีบไปเปลี่ยน ไม่งั้นจะมีปัญหา

เนื่องจากเรื่องมันเร่งด่วนมาก ภายใน 15 วันจะให้จองคิวในเว็บไซต์ก็ทำไม่ทัน เพราะช่วงน้ีโควต้าการให้บริการแต่ละวันนั้นน้อยมาก เขาไม่ต้องการให้คนไปแออัดกันในอาคารเยอะๆ อย่างเมื่อก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อเราเปิดเว็บไซต์ HiKorea เข้าไปเพื่อจะจองคิวก็พบว่า โน่นน อีกเดือนกว่าถึงจะได้คิวว่าง ซึ่งก็น่าจะเลยกำหนดวีซ่าหมดอายุไปแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต่อให้ถึงปลายเดือนธันวาจริงๆ

ที่เห็นขาวและดูว่างนั้นจริงๆ แล้วจองไม่ได้นะจ๊ะ กดแล้วจะมีป๊อบอัปขึ้นมาแบบนี้ เป็นอันจบเห่

มันก็เลยมีคำถามและความไม่แน่ใจ เพราะเจ้าหน้าที่แต่ละคนจากแต่ละช่องทางให้ข้อมูลเราไม่เหมือนกัน แต่พอคิดๆ กับตัวเองแล้ว รีบไปเปลี่ยนก่อนจะดีกว่ามีปัญหาทีหลัง ท่ามกลางความสับสนของข้อมูลนั้น

สุดท้ายเราเชื่อ HiKorea เพราะตอบมาเป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นหน่วยงานของ ตม. เอง เลยพยายามรีเฟรชหน้าจอที่จองคิวทุกวันจนเจอว่ามีคนแคนเซิลคิววันศุกร์ที่แล้ว เลยรีบเอาเอกสารขอเปลี่ยนเป็น D4 ไปยื่น สำนักงาน ตม. โซล สายใต้ ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึง 1 ชั่วโมง แถมไปถึงก็ต้องนั่งรอคิว

สำหรับคนที่จะ ‘เปลี่ยน’ วีซ่า กล่าวคือมีวีซ่าอยู่แล้วและอยู่ในเกาหลี ให้ใช้แบบฟอร์มรายงาน (ติ๊กที่ช่องเปลี่ยนสถานะการอาศัย หรือ CHANGE OF STATUS OF SOJOURN)

ตอนแรกลนลานว่าไม่มีเงินสดจ่ายค่าธรรมเนียม แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเข้าไปที่ ตม. ชั้น 1 ได้เลย จะมีที่ให้ซื้ออากรสแตมป์เพื่อนำมาแนบกับคำร้อง และมี ATM ให้ถอนเงินสดได้เลย

ซื้ออากรสแตมป์ที่ชั้น 1 ขอวีซ่าที่ชั้น 2 (สำหรับคนสัญชาติอื่นนอกจากจีน)

พอถึงคิวเรา เจ้าหน้าที่แค่ได้ยินว่าเปลี่ยนจาก D2 เป็น D4 ก็ชะงักมือจากเอกสารแล้วบอกว่า ทำไม่ได้นะ ถ้าจะทำวีซ่า D4 มีอย่างเดียวคือกลับประเทศไปทำที่สถานทูตเกาหลีในไทย

เราเลยยื่นกระทู้จาก HiKorea ให้ดูว่าเจ้าหน้าที่ตอบใน Q&A ว่าทำได้ เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์อ่านแล้วก็ดูอึ้งและหัวเสีย โทรหาเจ้าหน้าที่คนอื่นว่าทำไม HiKorea ถึงให้ข้อมูลผิดๆ แบบนี้ แต่ดีหน่อยที่เขาไม่ได้ตำหนิเรา แค่ยอมรับว่าข้อมูลที่ HiKorea ตอบมาน่ะ มันผิดนะ ยังไงก็ทำไม่ได้หรอก

เราก็งง อึ้ง ใจอยากจะโกรธที่ทำให้เสียเวลา แต่ก็เผื่อใจไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ก็เลยถามต่อว่า ถ้างั้นเราเปลี่ยนเป็น D10 (วีซ่าหางาน) เลยแล้วกัน ที่พูดแบบนั้นเพราะรู้ว่าคิวมันหายาก หลุดวันนี้ไปก็อาจจะหลุดไปถึงเดือนตุลาฯ แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่บอกว่า มหาลัยยังไม่ได้แจ้ง ตม. มาว่าเราเรียนจบแล้ว เลยยังทำวันนั้นไม่ได้

เราก็กลับออกมาแบบเซ็งๆ นิดหน่อย วันนั้นต้องรีบไปนั่ง KTX ไปปูซานต่อด้วย เลยไม่อยากต่อปากต่อคำอะไร แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวเองไม่ได้เตรียมเอกสารมาดีพอสำหรับ D10 แค่แชทหาเพื่อนว่า “เออ เขาบอกว่าพวกเรายังต่อ D10 ไม่ได้นะ” แต่ปรากฏว่าวันนั้น เพื่อนที่เรียนจบพร้อมกันสองคนไปต่อ D10 แล้วได้เฉยเลย (!!??) มีทั้งที่ไป ตม. สาขาโซลกับสาขาโซลสายใต้ที่เดียวกับเรา มันก็ทำให้ชัดเจนว่าคำพูดของ ตม. ไม่ได้มีน้ำหนักอะไรนักหรอก ไม่แปลกใจที่ต่างชาติหลายคนจะรู้สึกหัวเสียกับแง่มุมนี้ของเกาหลีเป็นพิเศษ เพราะมันเสียเวลาโดยใช่เหตุมากๆ

ศุกร์ต่อมาเราก็ได้คิวมาต่อ D10 จนได้ (จากการรีเฟรชจอเช่นเคย) เตรียมเอกสารมาตามไกด์ไลน์ แต่ไม่ได้อ่านเรื่องคะแนนสะสมมาอย่างละเอียด ตอนแรกคิดว่าจะผ่านง่ายๆ เพราะเราเรียนจบ ป.โท ที่นี่ก็น่าจะมีภาษีดีอยู่ แต่เจ้าหน้าที่พิจารณาเอกสารนานกว่าที่คิด เหมือนคำนวณคะแนนว่าเราจะผ่านไหม (ในขณะที่เพื่อนอเมริกันโพสต์ใน IG ว่าเจ้าหน้าที่แทบไม่ดูเอกสารพิสูจน์คะแนนที่เขาแนบมาด้วยเลย) และยังบอกว่าเอกสารรับรองประสบการณ์การทำงานที่ออฟฟิศเก่าที่ไทยออกให้มันใช้ไม่ได้นะ ต้องไปรับรอง (apostille) กับกงสุลไทยก่อน ซึ่งเราเคยเล่าแล้วว่าการรับรองเอกสารที่กงสุลนั้นลายเซ็นของคนเซ็นเอกสารต้องขึ้นทะเบียนไว้กับกงสุลด้วย กงสุลถึงจะยืนยันให้ได้ และเรารู้ดีว่าที่ทำงานเราก็ไม่น่าจะเคยทำอย่างนั้นเอาไว้

เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่าคะแนนจากประสบการณ์การทำงานของเราก็หายวับไป ไม่มีผลอะไรเลย

เอกสารอีกอย่างที่ต้องแนบไปเวลาขอ D10 คือแผนการในการหางาน (Plan for Seeking Employment) เราจะต้องอธิบายเลยว่าภายใน 6 เดือนที่เขาให้วีซ่าอยู่ต่อเพื่อหางานนี่ เรามีแผนการอะไรบ้างในแต่ละเดือน ซึ่งเราก็เขียนตามที่คิดจริงๆ ว่า เดือนแรกเตรียมสอบ TOPIK เดือนสองเริ่มหางานใน Saramin หรือ LinkedIn เดือนต่อๆ ไปหาโอกาสสัมภาษณ์ เดือนสุดท้ายลองหางานใน Job Fair สำหรับคนต่างชาติ ฯลฯ คือมันไม่ต้องเป๊ะแต่ทำให้เขาเห็นว่าเรารีเสิร์ชมาประมาณหนึ่ง ไม่ได้มาอยู่ลอยๆ นะ เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นแผนการที่เราจำใจต้องเปลี่ยนมาทำให้เร็วขึ้นเพราะขอ D4 ไม่ได้

ปัญหาคือเราไม่เคยสอบ TOPIK ไว้เลย เพราะเราคิดมาก่อนหน้านี้ว่าจะเรียนภาษาให้ได้สักระดับ 5 ก่อนแล้วค่อยลงสนามสอบ แต่ผลเสียก็คือเรากลับไม่มีคะแนนตรงนี้มาใช้ยื่น D10 เหมือนชาวบ้านเขา ที่อย่างน้อยๆ ไก่กาก็ได้มาฟรีๆ 5 คะแนนจาก 20

แต่ยังไงก็ตาม สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็เก็บ ARC หรือบัตรประจำตัวคนต่างชาติเราไปแล้วบอกว่าภายในหนึ่งเดือน-เดือนครึ่ง หลังอนุมัติการเปลี่ยนวีซ่าแล้วจะส่งใบใหม่ (ที่มีสถานะเป็น D10) ไปให้ เราก็เลยเดาว่า อ่อ คงผ่านแล้วสินะ แล้วก็เดินออกมาอย่างงงๆ

ก็คงต้องลุ้นกันต่อว่าผลจะเป็นยังไง แต่ที่โคตรไม่เข้าใจก็คือ ทำไมไม่ให้ฉันเรียนภาษาก่อนนน

1 คิดบน “เรื่องปวดหัวของการเปลี่ยนวีซ่า D2-D4-D10

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.