เมื่อกลางเดือนสิงหาคมเป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เรามาอาศัยอยู่ที่ห้องกึ่งใต้ดินนี้
จำได้ว่าวันแรกๆ ที่มาถึง ฝนตกหนักหลายคืน เพราะอยู่ในช่วงฤดูร้อนของเกาหลีที่จะมีมรสุมเข้ามาด้วย เรากังวลทุกคืนว่ามันจะเป็นแบบเรื่อง Parasite ไหม ที่ว่าน้ำท่วมบ้านแล้วมีน้ำทะลักออกจากชักโครก
แต่หน้าฝนก็ผ่านไปด้วยดี เราเคยกังวลเรื่องความชื้นและเชื้อราในบ้านกึ่งใต้ดินที่เราแทบไม่กล้าเปิดหน้าต่าง (เพราะคนอื่นจะมองเข้ามาเห็นทุกสิ่ง) แต่เจ้าเครื่องดูดความชื้น Winix ที่เจ้าของบ้านซื้อมาให้ทำงานได้ดีมาก ยิ่งถ้าเปิดประตูห้องน้ำพื้นเปียกๆ เอาไว้ แล้วให้เครื่องนี้ดูดความชื้น สักพักหนึ่งพื้นก็จะแห้ง เทน้ำออกมาจากเครื่องได้เป็นถังๆ
ถึงจะเปิดเครื่องดูดความชื้นตลอดเวลาแต่ค่าไฟที่นี่ก็ไม่ได้สูงอย่างที่คิด ระบบปรับอากาศในบ้านก็เลยไม่ได้น่ากลัวแบบที่คนเขาเตือนกันเกี่ยวกับห้องชั้นกึ่งใต้ดิน หรือ พันจีฮา ในภาษาเกาหลี
กลายเป็นว่าห้องของเราไม่ร้อนตับแตกในหน้าร้อน และไม่หนาวเกินไปในหน้าหนาว เพราะแทบไม่ได้สัมผัสกับลมหนาวหรืออากาศภายนอกโดยตรง ช่วงหน้าร้อนปนฝนปีนี้ พวกเราลองตากผ้าในบ้านแทน ปรากฏว่าเวิร์กมาก เพราะเครื่อง Winix ช่วยดูดชื้นให้หมด
ยังไงตากแดดก็ดีกว่า แต่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในฤดูที่ฝนตกยาวนาน

ที่บอกอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพันจีฮาทุกที่จะดีเลิศไร้ปัญหาเหมือนกันหมด แต่เราจะบอกว่า โชคดีที่ห้องที่เรากับพี่ข้าวมาเจอนั้นเป็นห้องกึ่งใต้ดินในตึกที่เจ้าของเพิ่งรีโนเวตใหม่ แถมเจ้าของห้องเป็นคนวัยเราๆ ที่ใส่ใจดีไซน์ร่วมสมัย การออกแบบก็เลยออกมาสบายตาสบายใจ ตอนเห็นบ้านนี้ครั้งแรกในแอพฯ หาห้องเช่า ก็เลยรู้สึกทันทีเลยว่า นี่แหละ คือบ้านของเราในเกาหลี!
อยากจะเล่าว่าตอนเราอยู่ห้องเช่าในกรุงเทพฯ ย่านรัชดาฯ เราเคยเจอเจ้าของตึกที่ถามซักไซ้และชอบมองเข้ามาในห้องเราตลอดเวลาเมื่อมาเคาะประตู ราวกับคิดว่าเราทำอะไรผิดตลอดเวลา (เช่น ค้ายา??) ตอนที่เราอยู่ที่นั่นก็เลยรู้สึกเหมือนอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ทั้งๆ ที่ก็จ่ายค่าเช่าตรงเวลา และบอกชัดว่ามาเรียนเนติบัณฑิตที่ศาลอาญา ไม่ได้มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ผิดกฎหมาย

แต่เจ้าของบ้านที่นี่ดีมาก พี่ข้าวบอกว่า ทุกครั้งที่เขาต้องพาช่างเข้ามาซ่อมหรือจัดการอะไรในห้อง จะมีการแจ้งล่วงหน้าก่อน และเมื่อมาถึงก็ปฏิบัติตัวเหมือนว่าเกรงใจเราซึ่งเป็นเจ้าของห้อง (แม้เพียงชั่วคราว) มากๆ ที่เขามาละเมิดความเป็นส่วนตัวในขณะนั้น
ครั้งหนึ่ง เจ้าของห้องนัดช่างให้มาดูดส้วมของทั้งตึก ปรากฏว่า เราเพิ่งค้นพบในวันนั้นเองว่า หลุมส้วมนั้นอยู่ในห้องลับเล็กๆ ข้างห้องน้ำเรานี่เอง! (เขาอาจจะบอกแล้ว แต่ไม่รู้) นั่นทำให้วันที่ดูดส้วมมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ฟุ้งขึ้นมาพักใหญ่

เจ้าของบ้านเหมือนจะรู้ว่าต้องเกิดเหตุการณ์นี้ วันที่ลงมาเพื่อใช้เครื่องดูดส้วม เขาเลยส่งกล่องขนมยี่ห้อ Tous les Jours กล่องใหญ่ให้ก่อนเลย กล่องขนมใส่ในบรรจุภัณฑ์อย่างดี เหมือนจะแสดงความขอโทษสุดใจที่มาสร้างความคละคลุ้งในห้องของเราเพื่อประโยชน์ของคนทั้งตึก
นี่คือความประทับใจที่เรามีต่อเจ้าของบ้านเช่า ที่ถึงแม้จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ก็ให้เกียรติและไม่มาทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเรา
ถ้าไม่นับเรื่องความเป็นส่วนตัว เช่น หน้าต่างห้องน้ำที่เปิดไปก็จ๊ะเอ๋คนข้างบ้านแน่ๆ ข้อดีของห้องกึ่งใต้ดินคือห้องกว้างกว่าชั้นอื่นๆ แถมมีโซนหน้าบ้านที่วางราวตากผ้าได้ และเวลาคนมาส่งของก็สะดวก เพราะไม่ต้องขึ้นบันไดไปปะปนกับคนห้องอื่น จริงๆ แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นบ้านเดี่ยวหนึ่งหลังเลยล่ะ เพราะมีทางเข้าแยกเป็นเอกเทศอยู่ห้องเดียว
แต่เรื่องน่ากังวลมีอยู่ว่าทางเข้าที่ว่านี้ อยู่ชิดกับบ้านข้างๆ ที่ดันวางกระถางต้นไม้กระถางใหญ่เอาไว้ มองขึ้นไปจากระดับชั้นกึ่งใต้ดิน กระถางที่อยู่ชิดขอบสูงขึ้นไปนั้นดูน่าหวาดเสียวว่าจะร่วงใส่หัวเมื่อไรไม่รู้
วันหนึ่งพี่ข้าวเจอคุณลุงบ้านข้างๆ เดินออกมาพอดี เลยทักไปว่า “ช่วยขยับกระถางได้ไหมคะ มันน่ากลัว” เขาก็บอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก มันอยู่แบบนั้นมานานโขแล้ว” แต่พี่ข้าวก็ยืนยันว่า “ก็กลัวอยู่ดีค่ะ”
วันต่อมาก็เห็นว่าเขาย้ายกระถางที่บอกว่าอยู่มานานแล้วให้ เป็นความมีน้ำใจแบบเงียบๆ

ภาพถ่ายโดย : ข้าว
ย้อนไปดูช่วงแรกๆ ที่เราย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องกึ่งใต้ดินนี้ได้ที่นี่